ปี 1914 ณ ค่ายทหารที่ถูกล้อมรอบด้วยสภาพอากาศอันเหน็บหนาว ทหารหนุ่มหยิบรูปแฟนสาวขึ้นมาสร้างกำลังใจ จากนั้นเขาหยิบช็อคโกแลตขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ เขาหันหน้าออกไปและมองบรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยหิมะ
เสียงเพลง Silent Night เริ่มดังขึ้นจากหลุมหลบภัยที่หนึ่งส่งไปต่อไปยังหลุมต่างๆ สีหน้านายทหารทุกคนแสดงความคิดถึงต่อครอบครัว คนรักของพวกเขาผ่านเสียงเพลงในค่ำคืนที่เหน็บหนาว โดยที่พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังสงครามครั้งนี้ พวกเขาจะมีชีวิตกลับไปเจอครอบครัวหรือไม่
เมื่อถึงยามเช้า พลทหารต่างส่งสัญญาต่อการพร้อมรบ ทว่าพลทหารนายหนึ่งยกมือขึ้นและค่อยๆ เดินไปยังแดนของศัตรู ทั้งสองฝ่ายลดอาวุธลงและค่อยๆ เดินเข้าหากันอย่างเป็นมิตร
พลทหารทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวซึ่งกันและกัน กอดคอถ่ายรูปร่วมกัน แสดงภาพภรรยาอันเป็นที่รักให้ศัตรูได้ชมเชยถึงความสวยงาม เท่านั้นยังไม่พอทหารทั้งสองฝ่ายตั้งทีมแตะฟุตบอลกันท่ามกลางหิมะยามเช้า พวกเขาถอดเสื้อทหารที่แสดงถึงความแตกต่างและกองมันไว้เป็นเสาประตู
เสียงหัวเราะ โห่ร้อง จากการเล่นกีฬา สร้างรอยยิ้มทั่วสนามรบ
เสียงระเบิดดังขึ้น … พลทหารทั้งสองฝ่ายต้องแยกย้ายไปประจำการในเขตแดนของตนเอง
พวกเขาจับมือบอกลา ทันใดที่ต่างฝ่ายหันหลังให้กัน ก็เหมือนสงครามเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานั้น คือ โฆษณาช็อคโกแลต Sainsbury ที่มาพร้อมกับแนวคิดการให้ในเทศกาลคริสมาสต์ โดยเล่าผ่านเหตุการณ์สงครามระหว่างอังกฤษกับเยอรมนีในปี 1914 จากการเขียนบันทึกและจดหมายของ Robert Hamilton พลทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
โฆษณาชิ้นนี้ได้มอบมิติใหม่แก่คำว่า ‘สงคราม’ ให้กับมนุษย์รู้ว่ายังมี ‘ความงาม’ อยู่ในนั้น
สาเหตุที่ยกมานั้นผมต้องการชี้ให้เห็นถึงพลังของการค้นคว้าหาข้อมูลในการทำงานที่ให้ผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย
การเข้าถึงข้อมูลที่คนส่วนน้อยพบเจอนั้น ไม่ได้ต่างอะไรกับการดำน้ำลงไปใต้ก้นทะเลลึกแล้วไปพบเจอหีบสมบัติในซากปรักหักพังของเรือโบราณลำเก่าเลย
การเจอแค่หีบสมบัติก็ตื่นเต้นมากพออยู่แล้ว อย่างน้อยการดำดิ่งลงลึกกว่านักค้นหาค้นอื่นๆ ก็ทำให้คุณมีประสบการณ์มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหากสมบัติกล่องนั้นมีทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาล มันก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล
ขอเพียงแค่คุณก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ที่คนอื่นเข้าไปไม่ถึงเหมือนกับโรเบิร์ด บัลลาร์ด ที่พาผู้คนไปยังใต้ท้องทะเลและพบเรื่องราวมากมายในพื้นที่แห่งนั้น
ย้อนไปในปี 1985 โรเบิร์ด บัลลาร์ด คือ นักสำรวจที่ขึ้นชื่อว่ามีความกล้าและบ้าบิ่น เขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองประจำกองทัพเรือซึ่งค้นพบซากเรืออาร์เอ็มเอสไททานิกจมอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ทำให้บัลลาร์ดเป็นที่รู้จักในวงการนักสำรวจ
การค้นพบของบัลลาร์ดนำมาสู่การสร้างภาพยนตร์ไททานิก หนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล ซึ่งถูกกำกับโดยผู้กำกับมากความสามารถอย่าง เจมส์ คาเมรอน
หากผู้อ่านท่านใดไม่รู้จัก เจมส์ คาเมรอน ถ้าฟังชื่อภาพยนตร์ที่ผมจะเขียนถึงต่อไปนี้ คุณอาจจะร้องอ๋อ เพราะคาเมรอนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Terminator Titanic และ Avatar เป็นต้น
คาเมรอน บอกว่า “ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณมี”
เท่านั้นยังไม่พอเขากล่าวอีกว่า “จินตนาการคือพลังที่สร้างความจริงขึ้นมาได้”
ผมเห็นด้วยกับคาเมรอนเรื่องของพลังความอยากรู้ เพราะมันจะนำพาเราไปสู่สิ่งใหม่เสมอและสิ่งใหม่ที่ว่านี้ต้องดีกว่าเดิมจากเมื่อวาน ผนวกกับการใช้จินตนาการควบคู่ไปกับเนื้อหาที่เราค้นพบจากหนังสือเก่า งานวิจัย บทสัมภาษณ์ หรือคำบอกเล่าจากคนเก่าคนแก่
วัตถุดิบที่เราได้มาจากหลายๆ แหล่งนั้นเป็นเรื่องดีเสมอถ้าเรามองเห็นมิติการใช้งานของมัน ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และจินตนาการในการปรุงรสเนื้อหาที่หามาได้จากแหล่งต่างๆ ให้ออกรสออกชาติ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเมนูอาหารหนึ่งจานก่อนนำออกไปเสิรฟ์ลูกค้า
หากไม่แน่ใจก็นำไปให้เพื่อนร่วมงานชิมให้เยอะที่สุด และนำคำติหรือคำแนะนำมาปรุงจนเห็นว่าสมควรแก่การเสิร์ฟให้ลูกค้าได้ลิ้มรส
อาหารที่อร่อยจริงๆ บางครั้งยังไม่เปิดฝาก็ได้กลิ่นที่น่าลิ้มลองแล้ว
ความรู้สึกก่อนเปิดฝาอาหารของลูกค้า คงไม่แตกต่างอะไรกับนักประดาน้ำที่เจอหีบสมบัติอยู่ก้นทะเล
เมื่อเปิดออกมาแล้วมีเพียงสองอย่างคือ ประทับใจกับไม่ประทับใจ เท่านั้น
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การรักษาพลังของการค้นหาสิ่งใหม่มาสร้างสรรค์ให้เกิดความตื่นเต้นมากกว่า คือ สิ่งที่คนทำงาน ควรตระหนักอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะทำให้เราได้รู้มิติด้านความสวยงามจากสงครามแล้ว ข้อมูลของเราอาจเป็นประกายไฟไปจุดแรงบันดาลใจให้ผู้ที่สนใจลุกขึ้นมาทำงานระดับโลกอย่างที่คาเมรอนทำก็ได้…
See Movie: https://www.youtube.com/watch?v=NWF2JBb1bvM
หมายเหตุ: บทความนี้อยู่ในหนังสือ สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน