เราคงมีโอกาสเห็นคนตกงานมากขึ้น
เราหวังว่าตัวเองคงไม่เป็นหนึ่งในนั้น
ยังคงมีบางคนที่สามารถเอาตัวรอดได้
แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีแนวโน้มจะลำบาก
เราอาจจะเรียกทั้งหมดว่าความเหลื่อมล้ำ
แต่ว่าในนั้นก็จะมีคนบอกว่าให้ปรับตัวสิ
ประเด็นคือบางคนก็เต็มที่กับชีวิต
จนไม่มีอะไรให้ปรับอีกแล้ว (โว้ย)
เห็นใจกันบ้างสิ
เห็นใจคนรอบข้างกันเยอะ ๆ
ดังนั้น คนที่ไหวและไปได้ดี
ถ้าสามารถทำได้อาจจะช่วยเหลือคนที่ลำบาก
ไม่ใช่แค่เอ่ยปากบอกว่าผมทำได้คุณก็ทำได้
แต่ก็นั่นแหละ
มันก็ต้องมีทั้งคนที่ได้และไม่ได้โอกาส
ประเด็นก็คืออีกหลายคนรอโอกาสไม่ได้
หรือรอให้วันนั้นมาถึงไม่ได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ดี…
คนที่พยายามให้ตัวเองอยู่รอด
และหลุดรอดต่อจากวิกฤตนี้
ที่ไม่รู้จะนานเท่าไร แค่ไหน
คงต้องมีทั้งความสามารถ
โอกาส ความรู้การเงิน ฯลฯ
หรืออย่างน้อยก็ต้องมีอะไรบางอย่าง
ที่ทำให้ตัวเองโดดเด่นกว่าคนอื่น
เราอาจจะไม่ได้ยินคำว่า
จงทำงานที่รักไปอีกสักพัก
แต่จะได้ยินคำว่า
มีงานทำก็ดีจะตายแล้ว
อดทน อดทน อดทน
ใครหลายคนมักคอยบอกกับเราแบบนั้น
และที่น่าขำก็คือ
คนบางคนในนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตที่เกิด
เราทำอะไรได้บ้าง ? ต่อจากนี้
ถ้าเป็นด้านการงานการเงิน เราควร
ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม สะสมเงินสำรอง
มองหาโอกาสมากกว่าหนึ่งทางเสมอ
อย่าโลภและอย่ากล้าจนลืมความเสี่ยง
ถ้าเป็นด้านสุขภาพจิตสุขภาพกาย เราต้อง
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และระวังตัว
จัดการความเครียด ความเหนื่อยยาก
ไปจนถึงปัญหาประสาทแดกจากคนรอบข้าง
รักษาความสัมพันธ์ให้ดี
รักษาสุขภาพให้อยู่รอด
รักษาเงินในกระเป๋าให้เหลือมากที่สุด
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
แต่เราก็ทำได้แค่นี้
… แค่นี้จริง ๆ

พรี่หนอม หรือ แท็กซ์-บัก-หนอม เจ้าของ บล็อกภาษีข้างถนน ผู้สนใจทำให้การทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่มักแอบคิดเสมอว่าชีวิตเราควรมีอะไรมากกว่าการทำงาน จึงเป็นที่มาของบทความในออฟฟิศ 0.4 กับคอลัมน์ชื่อ “สิ่งที่คนทำงานไม่เคยบอก”