เรื่องดีๆ มันไม่เคยให้บทเรียนอะไรกับเราหรอก แต่เรื่องเหี้ยๆ เนี่ยเป็นบทเรียนที่ดีให้กับชีวิตเสมอแหละ
ท่ามกลางข้อมูลและความคิดเห็นอันมากมายจากโลกของโซเชียลเนตเวิร์ก ผมสะดุดกับข้อความด้านบนจากพี่สาวคนหนึ่งที่รู้จักกัน จากนั้นประโยคดังกล่าวก็ทำหน้าที่ดึงดูดการแสดงความคิดเห็นของคนอื่นๆ ได้ค่อนข้างดีทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือผม
ประโยคนี้ชวนผมย้อนคิดถึงอดีตที่เลวร้าย ที่ทำให้หมดทั้งแรงกายและแรงใจ แต่ความเลวร้ายจากวันเก่าเก่านั่นแหละ ทำให้ผมสามารถยืนหยัดได้ถึงวันนี้ ทั้งทักษะและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในการทำงาน ซึ่งบางครั้งเราไม่สามารถรอเวลา เพื่อให้เกิดไอเดียดีๆ ได้ทันท่วงที ทว่ามีเพียงประสบการณ์จากการล้มลุกคลุกคลานในอดีตนี่แหละ ที่ช่วยนำพาให้ค้นพบทางออกของปัญหา
ในช่วงแรกเริ่มของวัยหนุ่มสาว การทำงานเกินหน้าที่ คือช่วงที่ทำให้เราได้เปรียบต่อคนอื่นๆ ที่เอาแต่เลือกงานที่ถนัดเพียงอย่างเดียว เพราะโลกไม่ได้แบนราบเหมือนแต่ก่อน ที่นิยามคนทำงานว่าหนึ่งหน้าที่หนึ่งตำแหน่ง แต่โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วเกินกว่าที่เราจะปรับตัวเข้าหามันทัน หลายคนอาจคิดว่าก็ฉันปรับทักษะให้เพิ่มขึ้นตามงานที่ได้รับมอบหมายซึ่งเกินหน้าที่ไม่ทัน จะให้ทำอย่างไร
สมัยทำงานแรกๆ ผมเคยเจอภาวะเช่นนี้เหมือนกัน ที่น่าแปลกใจคือ คำตอบของหัวหน้าผมเกือบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การปรับหรือเพิ่มทักษะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าการเปิดและปรับทัศนคติต่อสิ่งที่เข้ามาท้าทายความสามารถ
เท่าที่จำความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ในตอนนั้น ผมคิดเพียงว่าพวกเขาคงพูดให้ดูเท่ เพื่อให้เด็กที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่กี่ปี ยกย่องกับคำคมๆ ของพวกเขา กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมมองย้อนกลับไปหาคำตอบเหล่านั้น และพบว่ามันคือคำตอบที่ดีระดับหนึ่ง แต่จะดีมากแค่ไหนขึ้นอยู่การนำไปใช้ให้เกิดผลอย่างแท้จริง
ไม่นานมานี้ เพื่อนร่วมงานโดนหัวหน้าดุอีกเช่นเคย หลายคนหน้าจ๋อยไปตามสภาพ และบรรยากาศก็ไม่ได้น่าสนทนาต่อสักเท่าไหร่ ทว่าไม่ได้มีแต่สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเสมอไป เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมักมีคำสอนดีๆ จากผู้ผ่านการแก้ไขปัญหามาก่อนเสมอ โดยเฉพาะหัวหน้าที่ทั้งสอนและให้กำลังใจผ่านแง่คิดจากประสบการณ์ที่เขาผ่านพ้นมา
มีประโยคหนึ่งหัวหน้าสอนไว้ว่า
“จงทำตัวให้มีคุณค่า จนคนอื่นขาดคุณไม่ได้”
เป็นประโยคที่สั้น และชวนท้าทายมาก แต่อย่าเพิ่งถอดใจ ผมเชื่อว่าคำตอบที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้น่าจะยังใช้ได้อยู่เสมอ นั่นคือต้องเปิดทัศนคติด้วยการให้โอกาสตัวเอง ผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่มีใครเก่งมาแต่กำเนิด อาจมีเพียงต้นทุนเรื่องพรสวรรค์ที่เหลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง แต่พรสวรรค์ส่วนใหญ่มักแพ้พรแสวงนะครับ
ไม่นานมานี้ผมอ่านข่าวของ คริส การ์ดเนอร์ อดีตคนผิวสีไร้บ้านที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Persuit of Happynessซึ่งผมเชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนประทับใจ ข่าววันนั้นนำเสนอชีวิตปัจจุบันของการ์ดเนอร์ว่า ตอนนี้เขาเป็นเศรษฐีที่มุ่งมั่นในการออกไปบรรยายตามสถาบัน และพื้นที่สาธารณะต่างๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิต แต่ยังหาทางออกไม่พบ เพราะเขาเชื่อว่าประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตของเขาที่ผ่านมานั้นมีคุณค่ามากพอที่จะช่วยค้นหาคำตอบในโจทย์ปัญหามากมาย
คริส การ์ดเนอร์ เป็นคนผิวสีที่มีอดีตไม่ดีนัก เขาเติบโตมาบนรอยร้าวของครอบครัวที่นิยมใช้ความรุนแรง ทว่าพื้นฐานเขาเป็นคนใฝ่ดีจนสามารถเรียนจบระดับมัธยม เมื่อเข้าสู่วัยทำงานเขาประกอบอาชีพเป็นเซลล์แมน กระทั่งเขาโดนไล่ออกแถมภรรยายังหนี และทิ้งลูกสาววัยห้าขวบให้เขาดูแลไว้อีก ที่สำคัญทั้งคู่กลายเป็นคนไร้บ้าน
ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่เจอปัญหาเช่นนี้อาจยอมแพ้ไปพร้อมกับจุดจบที่ไม่สวยงาม แต่โดยพื้นฐาน การ์ดเนอร์เป็นคนที่มีทัศนคติดี ผนวกกับความรักที่มีต่อลูก ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขาพยายามสังเกต และตั้งคำถามถึงชีวิตคนอื่นๆ ที่ดีกว่าเขา กระทั่งวันหนึ่งเขาตัดสินใจถามชายที่นำรถเฟอร์รารี่มาจอดไว้ว่าทำงานอะไร เชื่อไหมครับว่าการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ถามคำถามในวันนั้นของการ์ดเนอร์คือจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจนถึงทุกวันนี้ การ์ดเนอร์แปรงสภาพจากคนไร้บ้านเป็นมหาเศรษฐีจากการทำธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์
เหตุที่ผมไม่ได้อธิบายว่าระหว่างทางนั้นเขาทำอะไรถึงร่ำรวย จนสามารถเป็นเศรษฐีได้ ผมคิดว่าความสำคัญก่อนไปถึงตรงกระบวนการเหล่านั้นมันอยู่ที่จุดเริ่มต้นเสมอ จากคนไร้บ้านที่ไม่ยอมแพ้โชคชะตา และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ตั้งคำถาม จนได้รู้คำตอบจากคนอื่น ผมว่าใครทำแบบนี้ได้ตั้งแต่ขั้นแรก ก็ไม่ต้องห่วงว่าขั้นตอนถัดไปมากเท่าไหร่แล้วละครับ

บางครั้งที่ผมท้อแท้ผมก็จะหยิบภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาดู หรือไม่ก็เปิดอ่านชีวิตของคริส การ์เนอร์สักรอบสองรอบ ไปพร้อมกับการเปิดโอกาสตั้งถามต่อตัวเองว่าเขามีลูก และไม่มีบ้าน ตรงกันข้ามกับเราที่ยังมีบ้านให้อยู่ และมีงานให้ทำ
ปัญหาของเรานั้นเล็กกว่าเขามาก
และที่เล็กไปกว่าปัญหาของเขาเข้าไปอีกนั่นคือ ทัศนคติอันชวนอ่อนแอนั่นเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com/

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน