เชื่อว่าหลายคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนน่าจะจำเหตุการณ์หนุ่มตี๋ซีวิคที่โวยวายโอ้อวดและหยามเหยียดคู่กรณีจากอุบัตเหตุรถชนกันได้ จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล ซึ่งหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นและแพร่สะพัดออกไปไม่กี่ชั่วโมง ทางบริษัทที่หนุ่มตี๋ได้ทำงานอยู่นั้น ได้ออกจดหมายประกาศให้ทราบกันโดยทั่วถึงการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและได้มีการปลดพนักงานคนนี้ออกอย่างถาวร
เรียกได้ว่าขาดสติแค่ชั่ววูบก็ทำให้อนาคตในหน้าที่การงานดับวูบได้เหมือนกัน หรือบางคนก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ผลกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้ก็เห็นผลแล้ว เรียกได้ว่าเป็นกรณีศึกษาสำหรับมนุษย์เงินเดือนและการออกมารับผิดชอบอย่างรวดเร็วของบริษัทต้นสังกัดด้วยเช่นกัน
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dennis P.Kimbro ซึ่งเป็นนักเขียนและนักการศึกษากล่าวไว้ว่า
“ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้น 10%
ส่วนอีก 90% คือวิธีการเลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้น“
ก็เลยนั่งคิดว่าการจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตสำคัญมาก เพราะเอาเข้าจริงหากนั่งสังเกตุตนนั้น เราล้วนถูกกรอบและกฏขีดเส้นให้เดินตามอยู่บ่อยๆ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาแล้วด้วย ในส่วน 90% แบบตามที่ Dennis P.Kimbro บอกไว้นี่ยิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะหาก 10% ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น เราควรจะเลือกวิธีตอบสนองอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่่สุด
เขียนแล้วก็นึกถึงคลิปวิดีโอของต่างประเทศตัวหนึ่งครับ เป็นวิดีโอหน้ารถที่บันทึกเอาไว้ว่า มีชายคนขับรถคนหนึ่งลงมาโวยวายแล้วตีโพยตีพายอยู่หน้ารถ หลังจากที่รถของเขาถูกชนจากเจ้าของวิดีโอที่บันทึกไว้ ซึ่งมีคำพูดหนึ่งของเจ้าของวิดีโอนั้นบอกไว้ว่า
คุณเห็นอารมณ์ที่เขาแสดงออกด้วยความโมโหนั่นไหม เขาด่าทอคุณสารพัด หากคุณเปิดประตูรถลงไป คุณอาจจะเก็บขยะทางอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมาแล้วก็ขับออกไปหาเพื่อน หาครอบครัว พร้อมกับขยะเหล่านั้นด้วยก็ได้
ซึ่งหากคุณมีสติมากพอ คุณจะไม่เข้าไปยุ่งและเก็บมันขึ้นมาบนรถ นี่คือสิ่งที่คุณเลือกที่จะทำได้ด้วยการรอให้ทุกอย่างมันค่อยๆ สงบลง และค่อยๆ แก้ไขปัญหาต่อไป
มีสติกับ 10% ที่เกิดขึ้น แล้วค่อยๆ ใช้ 90% ที่เหลือตอบสนองกลับไปในแบบที่เราคิดว่ามันไม่กระทบกับเรามากที่สุดครับ

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน