มีโอกาสได้ชมรายการหนึ่งไป ซึ่งไปสัมภาษณ์บุคคลคนหนึ่งที่ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ แน่นอนเขาร่ำรวยมีชื่อเสียง ทุกอย่างดูสวยงามในช่วงแรก จนเข้าสู่ช่วงปัญหาที่ส่งผลให้ชีวิตรักของเขาต้องพังทลายลง เพราะเกิดจากความบ้างานนั่นเอง แน่นอนว่าความรักที่พังทลายลงนั้นได้ทั้งสร้างความทุกข์ และสร้างทั้งคำถามต่อตัวเขาเองด้วยว่าทำไมชีวิตถึงเป็นเช่นนั้น
เขาตั้งสมมติฐานต่อตัวเองหลายๆ อย่างและพบว่าไม่มีเงินซักบาทเดียวที่สามารถสร้างความสุขกลับคืนมาได้ การคิดอะไรมากไปก็ไม่ใช่หนทางในการแก้ไข ยิ่งคิดความทุกข์ยิ่งซับซ้อนและพันกัน จนเขาคิดว่าควรหยุดคิดเรื่องพวกนี้และใช้เวลาที่มีอยู่ทำในสิ่งที่ต้องทำต่อไปดีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิมทั้งๆ ที่มองดูภาพนอกเขามีครบทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง และการมีตัวตนในสังคมและสายอาชีพที่เขาทำอยู่

ปัญที่เกิดขึ้นทำให้ผมนึกถึงเนื้อหาในหนังสือ Subtle Art of Not Giving a F*uck ของมาร์ค แมนสัน ได้เขียนตอนหนึ่งไว้น่าสนใจในประเด็นที่บอกไว้ว่า ความสุขคือปัญหา ในตอนหนึ่งของเนื้อหาเขาอธิบายไว้สอดคล้องกับตัวอย่างที่เกิดขึ้นไว้ว่า
ความหมกมุ่นและการเชื่อในอารมณ์มากเกินไปนั้นทำให้เราผิดหวังด้วยสิ่งง่ายๆ นั่นคืออารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในวันนี้ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขในวันพรุ่งนี้ นั่นเพราะธรรมชาติของเราถูกกำหนดมาให้เกิดความต้องการมากขึ้นตลอดเวลา การยึดติดกับความสุขหรือความสำเร็จจึงย่อมหมายถึงการตามหา สิ่งที่มากขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และรู้สึกว่ามันยังไม่พอ
นักจิตวิทยาบางคนเรียกสภาวะแบบนี้ว่า Hedonic Treadmill คนที่เกิดภาวะบ้าทำงานหนักเพื่อหวังว่าจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น แต่ที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหน กรณีนี้อาจสอดคล้องในเชิงความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว

กระทั่งเขามีสติต่อตัวเองจากการไปร่วมงานกับศิลปินวาดภาพคนหนึ่งที่ขาดแขนพิกลพิการ แต่ยังสามารถใช้อวัยวะส่วนอื่นวาดภาพได้อย่างประณีตและสวยสดงดงามกว่าบุคคลธรรมดาที่มีอวัยวะครบครัน เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่มาของความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นเกิดจากอะไร
เมื่อตั้งสติได้เขาพบคำตอบแล้วนั่นคือ เขาไม่ได้รับการยอมรับตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นจึงอยากได้รับคำชื่นชมและการยอมรับจากคนอื่นๆ นี่เองทำให้เขามีความเพียรพยายามที่ทำงานเพื่ออยากได้สิ่งเหล่านั้น แต่เมื่อทุกอย่างมันเกินความสมดุลที่ชีวิตกำหนด ก็ย่อมต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปดังเช่นความรักและความสัมพันธ์อย่างชีวิตคู่
ข้อคิดสำคัญไปกว่านั้น เขามองย้อนกลับไปมองศิลปินวาดภาพคนดั่งกล่าวที่น่าจะทุกข์กว่าเขาเป็นหลายๆ เท่า เพราะศิลปินคนนั้นมีความทุกข์ติดตัวอยู่ตลอดเวลานั่นคือแขนและขาที่พิการ แต่ทำไมยังกลับมีสติในการใช้ชีวิตแถมยังวาดภาพได้สวยงามจนกลายเป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับอีกด้วย
เขายกมือขึ้นมาแล้วก็พบว่า ความคิดของเรานี่เองที่ทำให้เป็นทุกข์ ความคิดที่สั่งให้ตัวเองต้องการความสำเร็จมากๆ จนไม่ได้สนใจคู่ชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น ความคิดแบบนี้ทำให้ความสำเร็จเกิดความพิการได้ ถ้าเราไม่รู้จักบริหารจัดการมันให้ดี แต่น่าเสียดายในวันที่เขาคิดขึ้นได้ สิ่งที่เสียไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว
เหตุที่เขียนเรื่องราวตัวอย่างข้างต้นขึ้นมาไม่ได้ต้องการสร้างแหล่งอ้างอิงถึงความไม่ประสบความสำเร็จ หรือสร้างความเกียจคร้านเพื่อให้ใครหลายคนเอาไปอ้างถึงความล้มเหลวหรือไปไม่ถึงเป้าหมายนะครับ
เพราะการประสบความสำเร็จก็ยังถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนที่ควรเป็นโจทย์ตั้งไว้ให้ชีวิตอยู่ดี เพียงแต่ความพอดีในการประสบความสำเร็จนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราควรเอามาคิดต่อว่า เราพร้อมที่จะแลกต้นทุนกับความสำเร็จที่อยากได้และความสุขที่อยากมีเหล่านั้นด้วยอะไร
เวลา สุขภาพ หรือความสัมพันธ์
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com/

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน