ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นจากกำปั้นของหัวหน้าผมในยามบ่าย เนื่องจากไม่พอใจที่หนึ่งในลูกทีมไม่สามารถรับผิดชอบงานงบประมาณที่ได้รับมอบหมายไว้ได้ ที่สำคัญงานของลูกทีมคนนี้แทบไม่มีความคืบหน้าหลังจากที่หัวหน้าสั่งเลย
ใครที่เคยโดนหัวหน้าดุ
หรือเคยอยู่ในบรรยากาศเช่นนั้นคงรู้ดีว่ามันน่าอึดอัดเพียงใด
แถมยังส่งผลกระทบต่อคนทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องต่อเรื่องนี้จนต้องรับสะเก็ดระเบิดอารมณ์ไปด้วย
เรียกได้ว่าบอบช้ำกันกันถ้วนหน้า ผลลัพธ์สุดท้ายคือ
หัวหน้าให้ลูกทีมคนดังกล่าวนั่งทำงานจนถึงช่วงเย็น แล้วหัวหน้าจะมาดูความคืบหน้าอีกที
สุดท้ายกว่าพวกเราจะได้กลับบ้านเวลาก็เดินหน้าไปเกือบเที่ยงคืน
แม่เจ้า! อย่าล้อเล่นกับความรับผิดชอบกันเชียว
ทว่าท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดในวันนั้น ยังพอมีเนื้อหาดีๆ ให้ผมก้มหน้าจรดปากกาเพื่อบันทึกแง่คิดจากหัวหน้าได้บ้าง หัวหน้าไมได้สอนแค่ลูกทีมคนนั้น แต่สอนพวกเราทุกคนที่นั่งหน้ามึนกันอยู่ในห้อง
“จะใช้เงินกับอะไร ใครก็ใช้ได้ บอกให้ไปซื้อน้ำอัดลม โดยให้เงินไปสิบบาท เด็กที่ไหนก็ซื้อได้ ไม่เห็นต่างจากผู้ใหญ่เลยใช่ไหม ดังนั้นความต่างมันอยู่ที่คุณใช้เงินที่มีอยู่ไปซื้อขอสิ่งเดียวกันให้ดีที่สุด หรือคุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร นั่นต่างหากคือโจทย์ที่คุณต้องคิด วางแผน และรับผิดชอบ”
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นผมนึกถึงเรื่องเล่าของแม่ ซึ่งก่อนเกษียณแม่ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกที่ต้องปกครองลูกน้องมากมาย รวมทั้งคนงานบางส่วน
วันหนึ่งแม่เรียกคนงานมาหา เพื่อบอกให้คนงานไปซื้อทิชชู่มาให้กล่องหนึ่ง เป็นทิชชู่ประเภทดึงแผ่นต่อแผ่นออกโดยอัตโนมัติแบบที่เราคุ้นเคย แม่เห็นคนงานทำหน้างงๆ จึงยื่นกล่องทิชชู่ที่หมดแล้วให้คนงานนำไปเป็นตัวอย่างกรณีที่นึกไม่ออก หรือไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
เวลาผ่านไปนานพอสมควร คนงานเปิดประตูเข้ามาหาแม่พร้อมกับกล่องทิชชู่ใบเดิม แม่ถามว่าทิชชู่หมดเหรอ คนงานได้แต่ก้มหน้า และส่ายหน้า เรียกได้ว่ามีอาการคอตกเหมือนทำให้แม่ผิดหวัง แม่บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าหมดแล้วไว้ไปซื้อทีหลัง ทันใดนั้นคนงานบอกว่าเจ้าของร้านไม่ขายกล่องทิชชู่ให้เขา
แม่เริ่มฉงนใจว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงไม่ขาย เมื่อแม่ซักถามไปมาก็พบว่า คนงานเข้าใจผิด คิดว่าแม่ให้ไปซื้อกล่องทิชชู่เปล่าๆ ตอนผมฟังทีแรกถึงขั้นตบเข่าไปพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นบ้าน เป็นเรื่องที่ขำสำหรับผม แต่สำหรับคนงานคนนั้นคงไม่ตลก เพราะเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ
คนงานเล่าให้แม่ฟังว่า เขาพยายามต่อรองขอซื้อกล่องทิชชู่ที่มีลายเดียวกันกับกล่องที่แม่ให้ไปแล้ว แต่ทำอย่างไรเจ้าของก็ไม่ขาย (นั่นสิครับ ใครจะขาย) ท่ามกลางความขำขัน แม่ตัดอารมณ์ผมด้วยการชี้ให้เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจที่จะทำภารกิจให้สำเร็จของคนงาน ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่สวยงามก็ตาม แต่อย่างน้อยแม่เห็นถึงความพยายามของคนงานคนนี้
เมื่อแม่ฟังจบ แม่ไม่ได้ว่าอะไรต่อคนงานคนนั้นเลย เพียงแต่สอนให้ตั้งสติ และหากมีข้อสงสัยให้ถามก่อนที่จะลงมือทำงานใดๆ ก็ตาม ซึ่งผมเชื่อว่าคนทำงานกับผู้ที่มีสถานะเป็นหัวหน้า เวลามีคำสั่งหรือให้ปฏิบัติการใดๆ แล้วเกิดความไม่แน่ใจต่อชุดข้อมูลที่ได้รับ มักเกิดโรคที่ชื่อว่า “โรคกลัว” กลัวที่จะโดนด่าว่าทำไมไม่รอบคอบ ทำไมไม่ถาม หากโรคนี้แทรกซ้อนขึ้นมาระหว่างการทำงาน แล้วไม่ยอมรีบไปรักษาด้วยการถามอาการที่แน่ชัดจากหัวหน้า มีหวังระเบิดลงแน่ๆ
ในทางกลับกัน พฤติกรรมและท่าทีของหัวหน้าก็สำคัญไม่แพ้กันในการเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีความกล้าที่จะเข้าไปถามข้อสงสัย ดังนั้น ท่าทีที่แสดงออกระหว่างหัวหน้าและลูกน้องย่อมส่งผลกระทบต่อระบบ และผลลัพธ์ของการทำงานอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ระเบิดลงในห้องประชุม เมื่อเข็มนาฬิกาขยับเข้าใกล้เที่ยงคืน ขณะพวกเราต่างขยับตัวเก็บข้าวของลงกระเป๋า หัวหน้ายืนขึ้นแล้วทิ้งคำสอนให้พวกเราเก็บไปคิดก่อนนอนไว้ว่า
“คราวหลังเวลามีปัญหาอะไร ต้องหัดประเมินแล้วรีบนำมาบอกกัน จะได้ช่วยแก้ไขปัญหา ไม่ใช่อมเอาไว้แล้วงานไม่เดินไปไหน หากเป็นเช่นนี้ชีวิตของพวกเราก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน”
จากนั้นหัวหน้าผมเอยคำหนึ่งขึ้นมาที่ทำให้ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน
“คุณเชื่อคำว่า รางวัลแห่งชีวิต ไหม”
บางคนพยักหน้า บางคนหน้านิ่ง (อาจเพราะเริ่มง่วง)
พวกเราทุกคนพยักหน้า
หัวหน้ายิ้มรับก่อนตอบสั้นๆ ว่า
“เชื่อพี่เถอะ รางวัลแห่งชีวิตมีจริงๆ”
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com/

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน