หลังจากผ่านการสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน…
.
กำแพงอีกด่านหนึ่งก็คือ ช่วงเวลาแห่งการทดลองงาน หรือใครหลายคนเรียกติดปากว่า ‘ช่วงผ่านโปร’ ที่มาจากคำว่า ‘Probation’ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีระยะเวลาอยู่ที่ 120 วันโดยเฉลี่ย
.
แต่เอาเข้าจริงการผ่านโปรหรือไม่ผ่านโปรนั้น จะได้กลิ่นตั้งแต่เดือนที่ 2 เข้าเดือนที่ 3 แล้ว เพราะอย่างน้อยคนทำงานก็จะพอรู้ได้ว่า เราเหมาะกับงานหรือไม่ รวมถึงหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานก็พอจะเห็นผลลัพธ์ได้บ้างว่า งานเหมาะกับเราหรือเปล่า
.
ซึ่งหากทุกอย่างไปได้อย่างราบรื่นจนเข้าเดือนที่ 3 และได้คำชมมากกว่าคำเตือน ก็เรียกได้ว่าเตรียมบรรจุเข้าบริษัทได้เลย แต่หากปลายเดือนที่ 2 ต้นเดือนที่ 3 เริ่มมีสัญญาณเตือนให้ปรับตัว นั่นหมายถึงการได้รับโอกาสเพื่อให้ใส่ความพยายามมากขึ้น เพื่อที่จะได้ไปต่อกับทีม
.
และการตัดสินว่าจะไปต่อหรือไม่ไป โดยมากก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายเดือนที่ 3 ถ้าผ่านก็ทำงานได้อย่างสบายใจ เตรียมเซ็นเอกสารไปตามปกติว่าผ่านโปร แต่ถ้าดูรวม ๆ แล้ว ไม่ผ่าน อย่างน้อยก็จะมีการแจ้งเพื่อให้เราได้หางานใหม่ล่วงหน้าสัก 1 เดือน
.
แต่เอาเข้าจริง…พอรู้ว่าไม่ผ่าน ก็แทบไม่อยากทำงานที่แห่งนั้นต่อแล้ว เพราะมันเหมือนมีอะไรมาตราหน้าว่า เรามันไม่ได้มาตรฐานในการทำงานเอาเสียเลย
.
ถามว่า…โธ่ทำเป็นเขียนไป เคยเข้าใจหัวอกคนไม่ผ่านโปรเหรอ
.
ใช่ครับ! เราเคยเป็นคนทำงานคนหนึ่งที่ไม่ผ่านโปร!
.
แต่เราแค่อยากจะบอกว่า การไม่ผ่านโปร ก็แค่ยอมรับว่าเราไม่ดีพอในช่วงเวลานั้นเท่านั้นเอง เราอาจจะโทษตัวเองได้ว่าเรามันแย่ในเวลานั้น แต่อยากจะบอกว่า การไม่ผ่านโปร มันไม่ได้หมายความว่า ชีวิตการทำงานต่อจากนั้น มันจะเจอแต่ความล้มเหลวนี่นา เราอยากจะบอกว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาที่เราได้ทดลองงาน และทำให้เรารู้ตัวว่า
.
เราเหมาะกับงาน และ งานเหมาะกับเรา หรือเปล่า แค่นั้นเอง
.
ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานอายุน้อยๆ แล้วมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ การผิดหวังเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ย้ำอีกทีว่า การไม่ผ่านโปรมันไม่ได้ทำลายชีวิตเราที่เหลือสักหน่อย
.
จากประสบการณ์ของผม มันกลับเป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำ ที่เป็นการคัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป ในสิ่งที่เราสงสัย และคิดเองเออเองว่าเราเหมาะกับงานที่ทำ
.
และมันยังเป็นจุดเริ่มต้นของการได้ไปเจออะไรใหม่ ๆ ที่น่าจะเหมาะกับเรามากกว่าความผิดหวังในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ เพราะตัวผมเอง หลังจากไม่ผ่านโปร ก็ได้เริ่มต้นกับโอกาสใหม่ ๆ ที่ค่อย ๆ สอดคล้องไปกับความสามารถ ความสนใจ และทักษะที่มีอยู่ จนค่อย ๆ เติบโตมาเรื่อย ๆ
.
ใช่ครับ การเติบโตทุกวันนี้ เกิดจากการมีแบคกราวการไม่ผ่านโปรในอดีต เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรประกอบในชีวิตนั่นเอง ซึ่งมองย้อนกลับไป ก็ต้องบอกว่า ความเจ็บปวดกับเวอร์ชั่นของตัวเองที่คิดว่าแย่ในตอนนั้น กลับส่งผลดีในตอนนี้เหมือนกัน
.
ที่สำคัญ อย่าเพิ่งไปด้อยค่าในความสามารถของตัวเอง
.
เราอาจเป็นปลา ที่กำลังพยายามปีนต้นไม้อยู่ก็ได้
นั่นคือ เราอาจเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ดันทะลึ่งอยู่ผิดที่ ผิดทาง ผิดวัฒนธรรม
ความสามารถที่แท้จริงเลยไม่มีโอกาสได้ออกมาโชว์ให้คนที่ต้องการเห็นได้เห็นจริงๆ แค่นั้นเอง
.
และทุกครั้งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รู้จัก มาระบายและปรึกษากับการไม่ผ่านโปร
ผมจึงนึกถึงตัวเองในอดีตอยู่บ่อยครั้ง และยังกล้าบอกกับพวกเขาได้เต็มปากว่า
.
การไม่ผ่านโปร มันคือการคัดงาน คัดวัฒนธรรม คัดระบบ ที่ไม่ใช่ออกไปจากเรา
แถมยังส่งผลดีต่อบริษัทด้วย ที่คัดคนที่ไม่เหมาะออกไป ถือว่า WIN-WIN ทั้งคู่
.
ส่วนชัยชนะต่อไปในโลกการทำงาน ก็ใช้ความพยายาม
และความผิดหวังเป็นบทเรียนเพื่อต่อยอดในการทำงานที่ใช่ต่อไป
โดยหัดเป็นคนไม่ปฏิเสธงานก่อนในช่วงแรก
.
เพราะโอกาสของคนทำงานแรกๆ คือ การขอเวทีที่ได้ปล่อยของให้คนอื่นเขารู้ว่า
เรามีดีแค่ไหน…
.
และของที่เรามีดีเหล่านั้นจะทำงานต่อไป
ต่อให้เราจะไม่ผ่านโปร แต่ของดีที่เรามี สามารถเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ต่อการแนะนำและบอกต่อให้กับเราได้ จากคนที่มองเห็นศักยภาพของเราจริง ๆ ว่าเรา…
.
เป็นปลาที่อยู่ในน้ำ หรือ เป็นนกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้ากันแน่

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน