คุณคือหนึ่งผู้โดยสารที่กำลังเดินทางด้วยรถบัสเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง
หนทางที่คุณจะไป ต้องผ่านหุบเขาหลายลูกก่อนจะเข้าถึงที่หมาย
เมื่อรถบัสขับเข้าสู่พื้นที่หุบเขา คุณดันปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน
จนแล้วจนรอด คุณทนไม่ไหว จึงต้องรีบเดินไปบอกคนขับรถให้จอดเทียบข้างทาง
เพื่อทำกิจธุระให้เสร็จโดยใช้เวลาไม่นาน
คุณรีบกุลีกุจอลงไปอยู่หลังพุ่มไม้ กระทั่งทำกิจธุระจนเสร็จ
ระหว่างที่คุณกำลังเดินกลับไปยังรถเพียงอีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ก้อนหินขนาดใหญ่ได้ร่วงลงมาใส่รถบัสคันที่คุณนั่งอย่างรุนแรง
รถบัสแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง
เม็ดฝุ่นและเศษผงต่างๆ นาๆ กระจายไปทั่วพื้นที่
ร่างกายของคุณเต็มไปด้วยเศษผงและฝุ่นจากเหตุการณ์นี้
ไม่มีผู้โดยสารคนใดรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงคนขับรถและผู้ช่วยคนขับด้วย
ชั่วพริบตาเดียว คุณคงจะคิดอย่างทันทีว่า ฉันโชคดีอะไรเช่นนี้
โชคดีที่ลงมาเพราะปวดปัสสาวะ
หากคำตอบที่ผมเขียนนั้น ตรงกับใจที่คุณกำลังคิดอยู่ละก็ จงอย่าแปลกใจครับ
เพราะความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นกลไกการทำงานของมนุษย์ที่ต้องปกป้องตัวเองก่อนเสมอ
ในขณะเดียวกัน หากพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่ง
คุณคือสาเหตุการเสียชีวิตของผู้โดยสารคนอื่นๆ
เพราะการตัดสินใจให้คนขับจอดเทียบข้างทาง
ซึ่งตรงกับจุดที่หินร่วงลงมาทับรถบัสทั้งคันนั้นเอง
แต่คำตอบที่สองกลับไม่ได้ผุดขึ้นมาในใจหรือในความคิดของคุณตั้งแต่แรก
เพราะกลไกเราทำงานด้วยการปกป้องตัวเราเองจากความผิดก่อนเสมอ
สิ่งเหล่านี้คือความเคยชินที่น่ากลัว ซึ่งมักเกิดขึ้นกับการทำงานเช่นกัน
เรามักเห็นลักษณะอาการจากเรื่องก้อนหินร่วงใส่รถบัสทุกครั้งในวงการประชุม
ทุกครั้งที่มีการถามไถ่ถึงงานที่ล่าช้า งานที่ขายไม่ได้ งานที่ควรจะปรับปรุง ฯลฯ
ส่วนใหญ่เมื่อเราถูกโจมตีเรามักมองหาเงื่อนไขจากคนอื่นก่อนเสมอ
และไม่แปลกถ้าเราจะได้ยินสารพัดเหตุผลจากการจับเพื่อนร่วม
งาน ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต มาเป็นตัวประกัน
โดยที่ไม่ได้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองเลยว่า
ตนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้หินก้อนนั้นร่วงลงใส่รถบัส
ทุกครั้งหลังการประชุมเสร็จ ผมกับทีมและที่ปรึกษาอาวุโส
จะนั่งกันช้อนตะกอนความคิดจากการประชุมเสมอ
ที่ปรึกษาอาวุโสสอนให้เราเห็นข้อดีและข้อที่ควรระมัดระวังในการแลกเปลี่ยนในวงประชุม
ซึ่งผู้ที่เข้าในวงประชุมก็เปรียบเสมือนผู้โดยสารที่กำลังนั่งรถคันเดียวกันไปยังจุดหมายเดียวกัน
เช่นกันกับการถกเถียงและแลกเปลี่ยน
เราควรต้องรับรู้อยู่เสมอว่า วาระประชุมวันนี้คืออะไร
การรับรู้วาระในการแลกเปลี่ยนจะช่วยประหยัดเวลาและผลักดันงานไปไกลกว่าเดิม
ดีกว่ามัวแต่ขับรถออกนอกเส้นทางจนเสียเวลา
ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผมและทีมได้เรียนรู้ประสบการณ์จากที่ปรึกษาอาวุโสนั่นคือ
– การแสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่องาน (Subjective)
– การแสดงความคิดเห็นที่ยึดงานเป็นที่ตั้ง (Objective)
ซึ่งที่ปรึกษาอาวุโสเปรียบสองคำนี้เป็นตะกร้าสองใบอันสำคัญที่จะทำให้เราแยกความคิดเห็นจากผู้ร่วมวงประชุมคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
ผมนึกแล้วก็คิดถึงระบบแยกขยะตามสวนสาธารณะและห้างสรรพสินค้า
ที่ใช้สีและภาษาสื่อให้ประชาชนแยกขยะเปียก ขยะแห้ง และขยะมีพิษ ใส่ในถังที่เตรียมไว้
ที่ปรึกษากล่าวว่า
“ปัญหาการถกเถียงที่ไม่รู้จบ เพราะไม่มีใครแยกความคิดกับความรู้สึกออกจากงาน ซึ่งทำให้เราหาทางออกที่ดีที่สุดไม่เจอ หรือไม่ก็เสียเวลาในการคุ้ยหาคำตอบในถังที่เต็มไปด้วยความคิดและความรู้สึก”
ผมเห็นด้วยทุกประการที่ผู้อาวุโสนำประสบการณ์มากลั่นกรองและเปรียบเทียบให้
จนเห็นภาพที่ชัดเจนและวิธีนี้มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานทุกคน
คำสอนและคำตอบจากผู้อาวุโสนั้นสอดคล้องกับเหตุการณ์รถบัส
ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลังจะร่วมเส้นทางไปกับเพื่อนร่วมงาน เราจะคุยกันเข้าใจด้วยใจที่เปิดกว้าง
เราจะมองปัญหาที่งานเป็นหลักมากกว่าปัญหาทางความคิดส่วนตัว
หรือไม่ก็แสดงได้โดยแยกถังเอาไว้อย่างชัดเจน และร่วมเดินทางต่อ
แม้เหตุการณ์จะเลวร้ายเหมือนหินที่เปรียบเสมือนปัญหาและอารมณ์ร่วงใส่ความคิดระหว่างทางก็ตาม
แต่ถ้าต่างคน ต่างคิดได้ว่า
ต้นเหตุของหินก้อนนั้นมาจากแห่งหนใด มากกว่าการโทษดวงชะตาในการทำงาน
หินก้อนนั้นที่ตกลงมาอาจมีน้ำหนักเป็นเพียงแค่กรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งในที่ประชุมเท่านั้นเอง…
หมายเหตุ: บทความนี้อยู่ในหนังสือ สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com/

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน