‘ทัศนคติที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตจะกำหนดทิศทางชีวิตให้เรา’
ประโยคที่แสนสั้น แต่กลับทำให้ผมฉุกคิดถึงไทม์ไลน์ชีวิตการทำงานที่ผ่านมาว่าผมใช้ทัศนคติดำเนินชีวิตมาอย่างไรบ้าง
การเลือกใช้คำว่า ‘ทัศนคติ’ มาแทนคำว่า ‘ความคิด’ นั้น เพราะทัศนคติมีส่วนผสมทั้งความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านั่นเอง
ผมลองเขียนไทม์ไลน์ชีวิตการทำงานลงบนกระดาษ โดยแบ่งตารางตั้งแต่ปีแรกจนมาถึงปัจจุบันแล้วลองเขียนชื่อที่ทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงาน งานที่รับผิดชอบ เพื่อนร่วมงาน เงินเดือนที่ได้รับ และประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวได้
ผลปรากฏว่า ในช่วงแรก ผมมองเห็นตัวเองเป็นกรรมกรที่ทำงานอย่างมีความสุข หมายถึง แม้งานเยอะเงินเดือนน้อย แต่ก็มีความสุขในการได้ทำงานและการทำงานเยอะส่งผลให้ผมได้ประสบการณ์มากพอสมควร
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป อายุเยอะขึ้นภาระก็เริ่มมี การให้ความสำคัญกับเงินเดือนก็เริ่มมากขึ้น
จากการจดจ่อความสนุกในการทำงานเปลี่ยนเป็นจดจ่อในเรื่องของตัวเลขที่จะได้รับปลายเดือน เหตุนี้เองจึงเกิดความคิดและความรู้สึกต่อการเปรียบเทียบปริมาณงานกับเงินเดือน
ทัศนคติที่เริ่มเปลี่ยนไปทำให้ผมเริ่มไม่มีความสุข
ผมมีความคิดอยากเปลี่ยนงานเพราะเงินเดือนและเมื่อมองย้อนกลับไปพบว่า มันเป็นทัศนคติที่แคบเอามากๆ เพราะกำไรของการทำงานไม่ใช่รายรับที่เราจะได้อย่างเดียว มีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากที่เราต้องทบทวน เช่น เพื่อนร่วมงานดี ที่ทำงานใกล้บ้าน มีเวลาส่วนตัว ค่าครองชีพไม่สูง มีโอกาสเรียนรู้ในสายงาน หัวหน้าเปิดโอกาสแสดงความสามารถในการทำงาน เป็นต้น
บางครั้งเราหลงลืมคิดถึงองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อการตัดสินใจที่จะก้าวออกไปจากองค์กร…
ผมเคยสัมภาษณ์ครีเอทีฟคนหนึ่งที่ปัจจุบันทำงานอยู่ในเอเจนซี่ชื่อดังของเมืองไทย เขาเล่าเรื่องราวชีวิตในการทำงานที่ผ่านจุดสับสนและตกต่ำในชีวิตมาแล้ว ก่อนที่จะพลิกชีวิตกลับมาโลดแล่นในวงการสร้างสรรค์อีกครั้งด้วยการปรับทัศนคติในการทำงาน
เขาเล่าว่า ‘การทำงานในวงการโฆษณาเต็มไปด้วยการแข่งขัน ครีเอทีฟทุกคนทำงานหนักและมีความกดดัน ยิ่งเห็นครีเอทีฟบางคนสามารถคว้ารางวัลมาประดับให้แก่ตนเองและบริษัท ทำให้เราต้องกระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อขายงานลูกค้าให้ผ่านและล่ารางวัลมาประดับบารมีอีก นี่จึงเป็นความกดดันที่ค่อยๆ กัดกินแรงกาย แรงใจของเขา จนกระทั่งมันหมดลง’
เขาลาออก!
‘ตอนนั้นอายุ 29 ปี ไม่รู้จะรักษาความรู้สึกตนเองอย่างไร จึงตัดสินใจไปทำงานร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศ ทำอยู่ได้ประมาณเกือบปี ความรู้สึกดีขึ้นและเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เราจะเป็นแบบนี้ต่อไปหรือ ที่สำคัญไม่อยากเผาเวลา เพราะอายุเราก็เริ่มเยอะแล้ว ผมจึงตัดสินใจโทรหารุ่นพี่ที่ทำงานโฆษณา ถามว่ายังมีตำแหน่งว่างอยู่ไหม เพราะอยากกลับไปทำงานที่ชอบเหมือนเดิม’
เขากลับมาเป็นครีเอทีฟที่มีความสุขด้วยการพลิกทัศนคติเพียงนิดเดียว
‘ตอนกลับมาก็รีบทำพอร์ตส่งให้พี่เขาพิจารณา สุดท้ายก็ได้เข้าไปทำงาน แต่ครั้งนี้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าครั้งก่อน ดีขึ้นนี่ไม่ได้หมายถึงงานนะ งานมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ตัวเราต่างหากที่ดีขึ้นด้วยทัศนคติ ไม่มีอาการงอแงกับลูกค้า หรือเพิ่มความกดดันใส่ตัวเอง แค่มองหามุมที่ดี มันก็ส่งผลต่อชีวิตการทำงานมากๆ แล้ว เช่น รอบแรกขายงานลูกค้าไม่ชอบใจ ก็แค่หาทางทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าชอบ แค่นั้นเอง อย่าไปมัวคิดโทษลูกค้าเลย เสียเวลาเปล่า’
ผมจำได้ว่าตอนที่เราสนทนากันกลางสยาม เขาหัวเราะบ่อยมาก ทั้งๆ ที่หิ้วงานมานั่งทำต่อด้วย
ชีวิตของเขาเหมือนเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ผ่านจุดตกต่ำและฟื้นขึ้นมาได้ด้วยทัศนคติที่ตอกย้ำให้ผมได้รู้ว่ามันสำคัญต่อชีวิตการทำงานเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ครีเอทีฟรุ่นพี่คนนี้คนเดียวที่ให้ความสำคัญ ระดับผู้บริหารก็ให้ความสำคัญไม่ต่างกัน
คาซุโอะ อินาโมริ เจ้าของบริษัทดังอย่าง Kyocera ได้เผยหลักการใช้ชีวิตการทำงานบริหารของเขาให้ประสบความสำเร็จด้วยวิถีที่เรียบง่ายด้วยทัศนคติ
คาซุโอะบอกว่าสูตรชีวิตและการทำงานของเขา คือ
ทัศนคติ x ความสามารถ x ความพยายาม
ซึ่งมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ทัศนคติเป็นหลัก
นี่คือสูตรที่เขาค้นพบจากการทำงานมาชั่วชีวิตเพื่อหาคำอธิบายว่าทำไมคนธรรมดาสามารถทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาได้ และคาซุโอะก็ใช้สูตรนี้เป็นหลักมาตลอดในการทำงาน
เมื่อมองย้อนกลับไปที่เรื่องของครีเอทีฟรุ่นพี่ที่เปลี่ยนชีวิตด้วยทัศนคติ เขาก็ใช้สูตรของคาซุโอะ อินาโมริ เหมือนกัน (ทัศนคติ x ความสามารถ x ความพยายาม)
อย่างไรก็ตาม คาซุโอะ อินาโมริ ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ละเลยไม่ได้อีกว่า
ปัจจัยทั้ง 3 อย่างนั้นจะไม่เกิดผลอย่างถ่องแท้เลย ถ้าเราไม่นำมาใช้ในทางที่ดีต่อสังคมและผู้อื่น เพราะสังคมและผู้อื่นนั้นจะเป็นกระจกสะท้อนมายังตัวเราได้อย่างชัดเจนที่สุด
ถ้าใครยังหากระจกบานนั้นไม่เจอ ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่แล้วลงมือทำตามสูตรที่ คาซุโอะ อินาโมริ เผยไว้
อย่างน้อย คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งอ้างสิ่งต่างๆ มากมายในชีวิตว่า
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่เรามัวแต่นั่งมองความสำเร็จของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้ริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง…
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก’
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com
=========================
TWITTER : https://twitter.com/Office04TH
WEBSITE : https://office04.org/

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน