เข้าสู่บรรยากาศปลายปีแบบนี้ แม้บรรยากาศจะชวนให้เคลิบเคลิ้มกับการรอฉลองเทศกาลปีใหม่ แต่ในมุมกลับกันของคนทำงานคนหนึ่ง กลับมองว่าเป็นโอกาสอันดีในการทบทวนถึงปีหน้าที่กำลังจะมาถึง ว่าบริษัทที่เราทำอยู่นั้นมีชีพจรดีร้ายอย่างไรบ้าง และมันจะส่งผลต่อเส้นทางการทำงานของเรายังไง
ผมเลยมีชีพจรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทุกคนได้ลองมาสำรวจกันครับว่า บรรยากาศของบริษัทมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ถ้ามีแบบผิดสังเกต นั้นหมายความว่า อาการของบริษัทกำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก และอาการเหล่านั้นสามารถทำให้เราถอยกลับมาคิดเพื่อเตรียมตัวไม่ให้เหนื่อยหนักไปกว่าการไปเจอปัญหาเอาซึ่ง ๆ หน้าได้ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปลองสำรวจกันครับ
1. พนักงานด้วยกันเองเริ่มมีเสียงบ่นมากขึ้น
จริง ๆ เรื่องการบ่นเป็นเรื่องปกติมากนะครับ แต่อาจต้องลองฟังสาเหตุที่ไม่ปกติดู เช่น การถูกมอบหมายงานที่ไม่เหมาะสม หรือการบริหารเวลาไม่ดีอย่างต่อเนื่องจากหัวหน้างาน ที่อาจมีนโยบายลับอะไรบางอย่างมาจากข้างบนก็ได้ และต้องดูด้วยว่า คนที่บ่นคือคนที่ปกติแล้ว เป็นคนทำงานหรือไม่ค่อยได้ทำงาน ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ปกติไม่ค่อยได้ทำงาน บางทีนี่อาจเป็นเกมบางอย่างในการลดขนาดของประชากรในออฟฟิศก็ได้ ส่วนคนที่ปกติทำงานอยู่แล้วไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก เพราะพวกเขาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
2. งานที่น้อยลงอย่างผิดปกติ
ปกติแล้วบริษัทแต่ละแห่งจะมีช่วง High Season เป็นของตัวเอง หมายถึงงานลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แต่ถ้าซีซั่นที่งานควรจะเยอะกลับน้อยลงอย่างน่าผิดสังเกต จนเรามีเวลาชิลเอ้าท์นั่งดูยูทูปอย่างเพลิดเพลิน ขอบอกเลยว่าเป็นสัญญาณที่น่าผิดสังเกต หรือต่อให้หลายคนบอกว่าก็ช่วงเวลาอื่นมันมาทดแทนกันได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้นั้นแสดงว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าบริษัทในช่วงเวลาที่ควรจะเป็นกำลังเปลี่ยนทิศทางไปหาคู่แข่งอยู่หรือเปล่า ซึ่งนั้นแหละอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม ถ้าไม่เชื่อก็รอวันประชุม Town Hall ใหญ่
3. เริ่มมีนโยบายประหยัด
การช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ เป็นเรื่องปกติอีกนั่นแหละ แต่มันจะไม่ปกติกับบริษัทที่ไม่เคยมีแนวคิดแบบนี้เลย ซึ่งการเริ่มออกนโยบายประหยัดขึ้นมา ก็แสดงว่าบริษัทอาจเริ่มมีอาการอยากลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นจนมากเกินไป โดยเฉพาะพวก Fix Cost อย่างค่าน้ำไฟที่เป็นรายเดือนนั้นแหละ ซึ่งสัญญาณนี้ก็สามารถบ่งบอกสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทที่เริ่มไม่เหมือนเดิม
4. เริ่มมีการย้ายข้ามแผนกและเอาคนออก
อันนี้ไม่ต้องเขียนเยอะมาก เมื่อสัญญาณจากข้อด้านบนมาบรรจบกัน การลดต้นทุนที่นิยมใช้กันอย่างการจำนวนคนออกไปต้องมาอย่างแน่นอน ซึ่งเราไม่ต้องไปห่วงบริษัทหรอกว่าจะอยู่ยังไง งานที่เราทำไว้จะมีคนทำเหรอ เพราะบริษัทจะเก็บคนสำคัญไว้เสมอ ส่วนเราที่เป็นผู้โชคดีคือ การไม่ได้อยู่ในลิสต์สำคัญของเขา คำถามที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เรามีกันชนสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้หรือไม่ ทั้งเงินสำรองฉุกเฉิน ภาระที่แบกอยู่ และงานที่ต้องหาในวันข้างหน้า
5. การอ่านงบการเงินบริษัท
หลายครั้งที่ผมไปบรรยาย ผมเคยบอกไว้ว่าตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ไม่แน่นอนเอาเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนี้คนทำงานจะเริ่มระวังหน้าระวังหลังกันมากขึ้น และวันนี้พฤติกรรมของคนทำงานจะเปลี่ยนไปในเชิงรายละเอียดและการวิเคราะห์มากกว่าเดิมตั้งแต่การเลือกบริษัทที่จะเข้าไปทำงานด้วยแล้ว ไม่ใช่แค่การชื่นชอบแบรนด์ดิ้ง หรือการมีสวัสดิการดี ๆ เท่านั้น แต่คนทำงานจะเริ่มศึกษาแล้วว่า บริษัทที่จะเข้าไปทำนั้น อยู่ในอุตสาหกรรมที่จะไปได้ไปรอดไหม และงบการเงินก่อนที่เราจะเข้าไปสมัครงาน มีกำไรมาก่อนหรือขาดทุนมาก่อนกันแน่ การอ่านงบการเงินแบบภาพรวมจะเป็นทักษะโดยจำเป็นของคนทำงานก่อนตัดสินใจสมัครงานกันมากขึ้น
หวังว่าสัญญาณจากบริษัทที่ผมได้นำมาแชร์ จะเป็นประโยชน์สำหรับคนทำงานทุกคน เพื่อวางแผนและเตรียมตัวสำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึง หากถามว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไรในภาพรวมของโลกการทำงาน ผมคงบอกได้แค่ว่า คาดเดาได้ยากครับ แต่สิ่งที่ง่ายกว่านั้นคือ การเตรียมความพร้อมของเราเอง เพื่อพร้อมชนกับทุกสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ดูจะเป็นอะไรที่เป็นไปได้กว่าเยอะเลย

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน