ยังจำช่วงเวลาฝึกงานกันได้ไหม
ถ้ายังจำกันได้สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เรามักเรียนแต่ทฤษฎีและภาคปฏิบัติสลับกันไป เพื่อเน้นผลลัพธ์ต่อการนำไปสอบมากกว่าการนำไปใช้ เพราะเราเชื่อว่าเกรดที่ดีจะนำพามาสู่โอกาสที่ดีต่อการหางาน ซึ่งก็จริงครึ่งและอีกครึ่งอยู่ที่โลกของการได้มีโอกาสไปฝึกงาน
ผมจำได้ว่ามีโอกาสได้ไปฝึกงานที่องค์กรชื่อดังแห่งหนึ่งในระยะเวลาหลายเดือน เป็นการฝึกงานที่ยาวนานที่สุดในชีวิต ในตอนนั้นอายุยี่สิบต้นๆ ยังไม่รู้จักโลกการทำงานภายนอกมากนัก จำได้ว่าในกระเป๋าเป้ที่สะพายไปฝึกงานวันแรกนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าตัวเราแน่และเจ๋งอยู่พอสมควร จากประสบการณ์งานในรั้วมหาวิทยาลัยและงานประกวดต่างๆ ทันทีที่จบการฝึกงานในสัปดาห์แรกลง ความมั่นใจที่พกมาเต็มกระเป๋าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เปลี่ยนคำจาก ‘ฝึกงาน’ เป็น ‘ทำงาน’
อะไรที่คิดไว้ก่อนหน้านี้กลับไม่ใช่แบบที่คิดอย่างสิ้นเชิง ผมได้เห็นบรรยากาศการทำงาน วิธีคิด และการสื่อสาร ของคนที่ทำงานกันจริงๆ ที่ใช้แรงกาย แรงใจ และความทุ่มเทเพื่อให้งานออกมาดีแบบมืออาชีพที่ได้รับผลตอบแทนกันจริงๆ
ผมจึงกลับมาตั้งต้นใหม่ด้วยการปรับวิธีคิดของตัวเองและเป้าหมายในระยะเวลาที่จะฝึกกับองค์กรแห่งนี้จบ โดยเปลี่ยนจาก ‘ฝึกงาน’ เป็นคำว่า ‘ทำงาน’ แทน แค่เปลี่ยนคำนิดเดียววิธีคิดและการปฏิบัติตัวจึงเปลี่ยนไปเลย ถึงแม้ว่าผมต้องใส่เสื้อนักศึกษาก็ตามที แต่วิธีคิดได้เปลี่ยนไปแล้ว
การเรียนรู้คือสิ่งสำคัญ
แน่นอนว่ากระเป๋าเป้ที่ผมสะพายไปทุกวัน นอกเหนือจากหนังสือและโน๊ตบุ๊กก็ไม่มีอะไรอีกเลย รวมถึงความมั่นใจในประสบการณ์จากรั้วมหาลัยที่หลอกให้เราภูมิใจในช่วงแรก ผมก็เก็บใส่ในลิ้นชักที่บ้านเอาไว้ เพื่อให้ในกระเป๋าเป้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับการตักตวงจากการเรียนรู้ในแต่ละวันของการได้ทำงานที่นี่ภายในระยะเวลาอันจำกัด
ทำงานไปสักพักเราเริ่มรู้จักผู้คนในองค์กร รู้ตำแหน่ง รู้นิสัย และรู้เป้าหมายในการทำงาน และเห็นผลลัพธ์ของงานที่ดีออกมาในแต่ละครั้ง ที่ทำให้ผมได้เห็นวิธีคิดและกระบวนการมากมาย พร้อมกับอุทานในใจเบาๆ ว่า เรียนในห้องแทบตายยังไงก็ไม่มีสอนหรือได้รับประสบการณ์ได้รวดเร็วเท่าการลงมาทำงานจริง
การเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าสำคัญไม่แพ้กัน
ด้วยระยะเวลาอันจำกัด กับโอกาสที่เหลืออยู่ไม่กี่เดือนทำให้ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามว่า ถ้าอยากทำงานเก่งๆ แบบพี่ๆ เขาต้องทำอย่างไร คำตอบที่ได้เหมือนกำปั้นทุบดิน นั่นคือ หนึ่งในการพัฒนาตัวเองให้เก่งอย่างเร็วที่สุด คือ การหาโอกาสได้ร่วมงานกับคนเก่งเหล่านั้น และทุกครั้งที่ประชุมหรือนั่งคุยกัน ผมจะมีสมุดเล่มเล็กเอาไว้จดแง่คิดที่น่าสนใจไว้เสมอ แถมยังเรียนรู้มุมต่างๆ ในชีวิตของคนทำงานเก่งๆ อีกด้วยว่าเขามีวิธีการบริหารงานและเพื่อนร่วมงานจนเกิดผลลัพธ์ทีดี่ได้อย่างไร
ก้าวสำคัญของการเติบโตแบบรวดเร็ว
เวลาผ่านไปผมยังจำบรรยากาศการฝึกงานวันสุดท้ายได้อยู่เลย เป็นบรรยากาศที่เศร้าหน่อยๆ แต่ก็แอบดีใจน้อยๆ ที่การฝึกแบบทำงานจริงครั้งนี้ ได้ให้บทเรียนอะไรมากกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว และทุกครั้งที่ได้เจอรุ่นน้อง หรือนักศึกษามาฝึกงานในที่ทำงานที่ทำอยู่ ผมก็มักจะนึกถึงตัวเองในอดีต และบอกกับเหล่านักศึกษาว่า พวกนายจะเป็นนักศึกษาวันแรกที่มาสมัคร แต่หลังจากนั้นพี่จะมองว่าพวกเราคือคนทำงานเหมือนกัน บริหารและเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้พวกเราเติบโตไปมากกว่าเดิมเลยทีเดียว
โอกาสที่ดีจาก dtac
โอกาสดีๆ ในการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผมเล่านั้นต้องยอมรับว่าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ที่จะเจอองค์กรที่เปิดใจและพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ รวมถึงวิธีคิดในการบริหารงานจากผู้เชี่ยวชาญในองค์กร ซึ่งตอนนี้ dtac มีโครงการที่เปิดรับบุคคลที่จบปริญญาโท และสนใจอยากเรียนรู้งานด้านบริหารจากผู้บริหารตัวจริงได้อย่างไม่จำกัด
โดยตำแหน่งที่สมัครมีชื่อว่า CxO Apprentice ตำแหน่งนี้เสมือนเป็นพนักงานประจำ ดังนั้นจะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการเหมือนพนักงานประจำท่านอื่น ๆ แต่ที่ไม่เหมือนใคร คือ ช่วง 18 เดือนแรก จะทำงานเปิดกว้างแบบไม่มี job description มากำหนด และถูก mentor โดย CxO โดยตรงเป็นเวลา 18 เดือนเลยทีเดียว
หากใครสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและสมัครมาได้ที่ https://www.dtac.co.th/jobs/apply
และหากใครอ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้วอยากแชร์ประสบการณ์ฝึกงานในฉบับแบบได้ทำงานอย่างจริงจัง ก็สามารถเขียนคอมเม้นท์มาแชร์ให้ชาวออฟฟิศ 0.4 อ่านด้วยได้นะครับ

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน