อย่าปล่อยให้ออฟฟิศได้กำไรอยู่ฝ่ายเดียว

30 June 2020

ในช่วงปลายปี หลายองค์กรต้องวางแผนธุรกิจเพื่อเป็นพิมพ์เขียวสำหรับการทำงานในปีหน้า ส่งผลให้แผนกต่างๆ ต้องวางแผนและออกแบบวิธีการวัดผล เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นเห็นทิศทางในการพัฒนาทั้งในแง่รายได้และประสิทธิภาพในการทำงาน วิถีเหล่านี้จึงเป็นรูปแบบที่หลายคนคงคุ้นเคยกันทุกครั้งเมื่อเวลาเดินเข้าสู่ช่วงปลายปี

ขึ้นชื่อเรื่อง ‘การวางแผนธุรกิจ’ สำหรับพนักงานมักไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอกครับ ไม่งานเยอะขึ้นก็ยากขึ้น ยอดไม่เพิ่มขึ้นก็ห้ามลดลง หรือแม้กระทั่งความรับผิดชอบที่หนักหนาอยู่แล้ว ก็อาจต้องหนักขึ้นกว่าเดิมในยามที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

หากวางแผนไม่ดีในวันนี้ วันหน้าอาจจะเดินหลงทางและแก้ไขปัญหาไม่ถูกก็ได้ ถ้าไม่ยอมกำหนดเส้นทาง และเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือเอาไว้ตัดปัญหาที่พัวพันในการทำงาน การวางแผนจึงสำคัญ

คืนหนึ่ง ณ ร้านกาแฟ ผมคุยกับรุ่นพี่ที่ทำงานที่เพิ่งมาสนิทสนมกัน หลังจากได้มีโอกาสร่วมทำงานพัฒนา โปรเจกต์ เราคุยถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตในแต่ละช่วงวัยกันอย่างออกรส รวมถึงความท้าทายในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง

พี่คนนี้มีความวิตกกังวลต่อหน้าที่การทำงานที่กำลังจะมาถึง เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แม้อาจจะเป็นการด่วนสรุปที่เร็วเกินไปว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะดีหรือแย่ แต่ที่แน่ๆ ความกดดันและภาระที่หนักอึ้งจากการเปลี่ยนแปลงในปีหน้ากำลังรอเขาอยู่

ดวงตาและสีหน้าของเขาเผยความความกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนผมเสนอให้ลองหยิบวิธีการวางแผนธุรกิจขององค์กรมาปรับใช้ให้เป็นเครื่องมือต่อการวางแผนชีวิตส่วนตัวของเขาที่จะเกิดขึ้นภายในปีหน้า

ดวงตาที่กังวลเริ่มผ่อนคลายเล็กน้อย

จากประสบการณ์ ผมสังเกตจากตัวเองและบุคคลอื่นๆ พบว่า การทำงานบางอย่างที่ตัวเองสนใจและรักมันจริงๆ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ท้อถอย และจะพยายามเอาชนะมันมากขึ้นเรื่อยๆ แถมพลังงานเหล่านี้บางครั้ง มันก็เป็นการเพิ่มทางออกให้แก่งานประจำที่เราทำอยู่ได้เหมือนกัน เรียกได้ว่าเราจะมีอาวุธเยอะขึ้นในการต่อสู้กับปัญหาในงานประจำ

ผมขยายความต่อและเริ่มยกตัวอย่างให้เขาฟัง เช่น เป้าหมายปีหน้าของผมที่วางไว้ คือการเพิ่มความรู้กับการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น ดังนั้น เป้าหมายของผม คือ ความรู้และรายได้

ความรู้เป็นเป้าหมายแรกที่ผมต้องอาศัยลูกขยันและความมีวินัยพอสมควร เพราะด้วยอาชีพที่ทำอยู่บวกกับการแข่งขัน ทำให้ผมต้องหมั่นขวนขวายและเติมความรู้ทั้งเก่าและใหม่อยู่เสมอ หลายคนอาจกำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

ผมแนะนำว่าต้องค่อยๆ ปรับพฤติกรรมและพยายามฝืนในช่วงแรกครับ เช่น หัดเข้าร้านหนังสือมากขึ้น เพื่อดูว่าช่วงนี้สังคมให้ความสนใจอะไร ซึ่งแผงหนังสือจะบอกเราแบบนั้น เช่น การเงิน อาชีพอิสระ การท่องเที่ยว เทรนด์จักรยาน ถ้าเราสนใจก็ลงทุนซื้อมาอ่านดู เชื่อว่าการลงทุนไม่กี่ร้อยบาท ก็สามารถเพิ่มความรู้และต่อยอดความคิดให้แก่คุณได้ไม่มากก็น้อย

การลองหางานสัมมนาดีๆ ที่สอดคล้องต่ออาชีพและความสนใจของตัวเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีสื่อและองค์กรมากมายจัดงานลักษณะนี้เพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ การเติบโตของร้านเจ๊กเม้ง ร้านอาหารที่นำความคิดสร้างสรรค์มาปรุงแต่ง จนกลายเป็นร้านที่โด่งดังและขึ้นชื่อมากที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี

จุดเริ่มต้นมากจาก คุณไอซ์ ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ เคยเข้าไปนั่งฟังสัมมนาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ที่ TCDC จากนั้นเขาลองตั้งคำถามที่แปลกใหม่และแหวกแนวต่ออาหารตามสั่งที่เขาคุ้นเคย

เขาทดลองทำในสิ่งที่เขาคิด จนวันนี้ความคิดของเขาที่ถ่ายทอดสู่อาหารได้สร้างรสชาติและรูปลักษณ์อาหารจนเป็นที่กล่าวถึง และตัวคุณไอซ์เองได้กลายเป็นอาจารย์พิเศษให้แก่หลายมหาวิทยาลัย และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรหลายภาคธุรกิจอีกด้วย เรียกได้ว่าการเพิ่มความรู้และความคิด คือ การเพิ่มโอกาสได้อย่างไม่มีวันหมดจริงๆ

รายได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพนักงานประจำ ที่มักให้ความสนใจเป็นพิเศษ จากการที่ผมสังเกตการเติบโตหนังสือประเภททำเงินหลากหลายวิธีมากมายจากหลายสำนักพิมพ์

ทว่าผมไม่อยากให้มองไปที่ผลลัพธ์ของการสร้างรายได้เพียงอย่างเดียว แต่อยากให้มองไปที่หนทางการสร้างรายได้มากกว่า เช่น การเพิ่มความรู้เรื่องภาษาต่างประเทศ งานออกแบบ ฝึกทำขนมและเครื่องดื่ม หรือการหัดบริหารจัดการรายได้เพื่อนำไปลงทุน ซึ่งทั้งหมดล้วนเริ่มต้นจากการพัฒนาตนเองก่อนทั้งนั้น

มีเพื่อนที่ทำงานของผมหลายคน ใช้วันหยุดสุดสัปดาห์หมดไปกับงานอดิเรกที่พวกเขารัก และสามารถเพิ่มรายได้เพื่อทำตามความฝันที่แตกต่างกันออกไปให้เป็นจริง เช่น เก็บเงินแต่งงาน ซื้อคอนโดปล่อยเช่า พาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ เรียนต่อ เป็นต้น

เมื่อพูดจบ รุ่นพี่ที่ทำงานถามถึงการวัดผลจากแผนของผม ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่ตั้งเป้าให้ชัด เช่น ปีหน้าต้องอ่านหนังสือให้ได้ 24 เล่ม ถ้าทำได้ถือว่าผ่าน ถ้าไม่ได้ก็ลองมานั่งคิดดูว่าเพราะอะไรแล้วค่อยนำปัญหานี้ไปแก้ในปีถัดไป การสร้างรายได้ก็เช่นกัน

การสร้างพิมพ์เขียวชีวิตให้แก่ตนเอง ผมคิดว่าเป็นเรื่องเก่าแต่ขึ้นอยู่กับกลวิธีของแต่ละคนมากกว่า และอีกอย่างเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกจมปรักอยู่กับหน้าที่การงานขององค์กรเพียงอย่างเดียว อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องของเราให้ได้พัฒนาและชื่นชมบ้าง

ที่สำคัญเมื่อเวลาผ่านไป เราจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างตัวเรากับเป้าหมายที่วางไว้ในแต่ละปีที่จะดีขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืองานอดิเรกส่วนตัว สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เป้าหมายไม่มีทางวิ่งมาหาเรา มีแต่เราที่จะวิ่งไปหาเป้าหมาย แต่จะวิ่งไปหาเร็วหรือช้าก็คงขึ้นอยู่ที่ว่า

เราวางแผนที่จะใช้พลังงานและเวลาทั้งหมดวิ่งไปหาเป้าหมายแบบไหนและอย่างไรครับ

อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4

SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *