ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ หลายคนกำลังจะเตรียมตัวไปทำงานอย่างเป็นทางการ หลังจากใช้วันหยุดยาวมาอย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อเวลามาถึงแล้ว การเตรียมตัวทำงานอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจก็นับเป็นก้าวแรกที่ทุกคนหวังว่าจะเริ่มต้นไปด้วยดี
แต่ก็มีหลายคนที่เริ่มทำงานไปบ้างแล้ว ก็ตัดเพ้อตั้งแต่วันแรกของการทำงานว่า งานเข้าแล้ว โดนสั่งแล้ว โดนตามงานตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แล้วทุกอย่างก็กลับมาชุลมุนเสมือนพรปีใหม่ที่เคยขอในค่ำคืนที่เปลี่ยนผ่านไม่ได้ช่วยอะไรใดๆ เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจะนึกถึงคำสอนของแม่ผมเสมอ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นคำติดปากหรือคำเตือนจนเคยชินกันแน่ เพราะเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กอย่างน้ำหกบนโต๊ะ หรือปัญหาใหญ่กว่านั้น แม่มักจะบอกผมว่า ‘ใจเย็นๆ’
ใจเย็นๆ เป็นคำสั้นๆ ที่ผมได้ยินมาโดยตลอด หน้าที่ของคำสั้นๆ คำนี้ มันเรียกสติก่อนที่มันจะวิ่งเตลิดไปพร้อมกับปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า คำว่า ใจเย็นๆ จึงเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยมาตบบ่าเรียกสติให้เราค่อยๆ หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อลดระดับความตื่นเต้น ตื่นตัว และตื่นกลัว ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อระดับความตื่นทั้งหลายมันคลี่คลายลงแล้ว ภาพปัญหาทุกอย่างตรงหน้าจะไม่ได้วุ่นวายเหมือนตอนแรกที่เราตื่นตระหนก แล้วเราจะค่อยๆ มองเห็นปัญหาต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เราจะเห็นเหตุของน้ำที่หกออกจากแก้ว ที่เกิดจากการไม่ระมัดระวังจากมือที่ไปปัดโดนแก้ว และเห็นผลลัพธ์จากโต๊ะที่เปียกโชก คำว่า ‘ใจเย็นๆ’ จึงดึงสติไม่ให้เราโวยวาย และหันไปมองหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างนิ่มนวลด้วยการมองหาผ้าหรือทิชชู่เพื่อซับไม่ให้น้ำที่หกเลอะเทะลุกลามไปที่อื่น จากนั้นเราก็ค่อยๆ เช็ดและซับไปเรื่อยๆ และกล่าวคำขอโทษต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบไป
ผมกำลังจะบอกเรื่องของสติสำคัญมากเมื่อจู่ๆ ปัญหาก็กระโดดใส่มาหาเราแบบไม่ทันตั้งตัว การมีคำเตือนของตัวเองเพื่อหยุดยั้งอารมณ์และกิริยาต่างๆ ที่จะแสดงออกออกไปนั้นช่างสำคัญกับคนวัยทำงานเป็นอย่างมาก มันอาจจะพออนุโลมให้ได้ หากเราเพิ่งเป็นเด็กจบใหม่ ที่ยังต้องอาศัยประสบการณ์ในการบ่มเพาะและเรียนรู้ต่อการรับมือกับปัญหา
แต่วัยทำงานในระดับที่มีคนยกมือไหว้ทักทายนั้นแล้ว ยิ่งสำคัญต่อการเป็นตัวอย่างในหลายๆ เรื่อง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมเขียนมาจะดูย้อนแย้งต่อผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆ คนที่เราเคยเห็นก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ เราคงไม่อยากเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นในสายตาคนอื่นๆ ที่มองเข้ามาเช่นกัน
สติจึงเป็นเรื่องสำคัญในการดึงอารมณ์และสถานการณ์จากปัญหาทุกอย่างให้ช้าลง เพื่อให้เห็นเหตุและผล รวมถึงวิธีในการแก้ไขปัญหาอย่างนิ่มนวล
บทความนี้อ่านแล้วเหมือนพระมาเขียนให้อ่าน แต่นี้เป็นเรื่องจริงที่ผมได้อิทธิพลมาจากแม่โดยตรง และซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญเมื่อเราเผชิญกับปัญหาแล้วหาทางแก้ไขมาได้นั้น สิ่งที่เราได้มันจะตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหาร การแชร์ประสบการณ์กับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา ปัญหาจึงจะกลายเป็นปัญญา เพราะเราได้ขัดเกลามันด้วยมันสมองและความใจเย็น
เอาเข้าจริงถึงแม้ปัญหาที่เกิดขึ้น เราจะไม่สามารถแก้ไขมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยในครั้งต่อไปเมื่อมีเหตุให้แก้ไข สายตาของเราที่มองปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มองว่า มันมีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามาในมิติเดียวแล้ว แต่เราจะมองมันเข้าไปว่า ครั้งนี้เราจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีก เราจะเก่งอะไรเพิ่มขึ้นอีก
เขียนมาแบบนี้ผู้อ่านบางอาจมองว่า จะโลกสวยไปไหน ปัญหาก็คือปัญหา จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร ผมจึงอยากบอกว่า ใจเย็นๆ ก่อนครับ ถ้าปัญหาเดินเข้ามาในชีวิตให้ลองสูดหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก จากนั้นก็ลองแก้ไขมันดูก่อนแล้วกัน ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องใจเย็นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ
ไม่มีที่ทำงานใดไม่มีปัญหา
เพราะกฎข้อสำคัญของการจ้างงานคือ
จ้างเราเพื่อมาแก้ไขปัญหานั่นเองครับ
อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4
SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19
APPLE : https://apple.co/2TXdzUr
SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC
YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT
PODBEAN : https://office04th.podbean.com

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน