การค้นหาตัวเองนับเป็นภารกิจที่ธรรมชาติออกแบบมาให้เราได้พบเจอความท้าทายและอุปสรรค จนกลายเป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจและบทเรียนมากมายให้เราได้จดจำและนำไปถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์เหล่านั้น
อย่างน้อยคนรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเดินหลงทางเหมือนเฉกเช่นเรา
หลังเรียนจบ ผมยังจำความรู้สึกแรกได้ว่า ผมจะทำงานอะไรดี ผมถนัดอะไรมากที่สุด จนผมนำวิธีของ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หรือเรารู้จักในนาม ‘โหน่ง a day’ ของใครหลายคน ที่แนะนำว่าให้นำกระดาษเปล่ามาหนึ่งแผ่นแล้วใช้ดินสอขีดแบ่งครึ่งให้เป็นหน้ากระดาษสองข้าง แล้วเขียหัวข้อไว้อย่างละข้างว่า สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบ
ผมทำตามสิ่งที่วงศ์ทนงบอกจากตัวหนังสือของเขาที่ผมเคยอ่าน สุดท้ายผมพบว่าความสนใจของผมยังอยู่ในศาสตร์ด้านการสื่อสารที่ร่ำเรียนมา ซึ่งคงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนั้น ผมตัดสินใจสมัครงานในตำแหน่งครีเอทีฟในสายงานต่างๆ เช่น โฆษณา รายการโทรทัศน์ อีเว้นท์ ฯลฯ แต่ไม่มีที่ใดติดต่อกลับมาหาผมแม้แต่ที่เดียว
การใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าหลายเดือน ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มมีงานทำ รับเงินเดือน และมีประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกันทุกครั้งที่พบปะสังสรรค์กัน
ผมได้แต่นั่งฟังและพยักหน้าตามบางจังหวะ ไม่รู้ว่าการได้งานทำก็ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กม.6 แอดมิดชั่นติดมหาวิทยาลัยที่ชอบและคณะที่ใช่กันขนาดนี้
ทว่าเพื่อนบางคนมีอาการคล้ายผม คือ ได้งานทำแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นถนัดอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานทางใจอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ยังหาตัวตนไม่พบ
มีเพื่อนหลายคนผันตัวจากนักสื่อสารไปเป็นนายธนารคารต้อนรับลูกค้าและอยู่กับตัวเลข ทั้งๆ ที่ตอนเรียนวิชาสถิติตอนปี 1 เกือบเอาตัวไม่รอด แต่ในเมื่อสถานการณ์บังคับก็ไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าที่เราจะทำไม่ได้ ถ้าเราหัดเป็นนักเรียนรู้อย่างเปิดใจ
เวลาล่วงเลยมาหลายปี ผมมีประสบการณ์ทำงานมากมายสำหรับคนอายุใกล้เลข 3 ซึ่งเป็นหลักกิโลที่หลายคนหวาดกลัว เพราะไม่อยากแก่ อยากหยุดอายุเอาไว้แค่เลข 2 แต่ผมมองว่ามันเป็นช่วงที่สำคัญของชีวิตช่วงหนึ่งและน่ากลัวกว่าเบญจเพศด้วยซ้ำ เพราะอายุช่วงนี้เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่าเราหายใจบนโลกใบนี้พร้อมกับประสบการณ์ความรู้ ความสามารถ ร่างกาย จิตใจ และการกระหายความสำเร็จต่อเป้าหมายต่างๆ ในชีวิต
มหาเศรษฐีอย่าง แจ๊คหม่า เจ้าของอาลีบาบา ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนได้ถ่ายทอดบทเรียนจากชีวิตของตัวเขาเองผ่านรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ เขาเล่าว่า
‘ไม่ต้องห่วงเรื่องความผิดพลาดหรอกครับ มันเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน ผมบอกตัวเองและบรรดาเด็กๆ เสมอว่า ก่อนจะอายุ 20 จงทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี นั่นคือช่วงเวลาที่คุณจะซึมซับความรู้ สั่งสมประสบการณ์ได้ดีที่สุด
ก่อนจะถึงอายุ 30 จงทำตามผู้อื่น ลองไปทำงานในบริษัทเล็กๆ แม้ปกติแล้วบริษัทใหญ่ๆ มักจะมีโอกาสในการเรียนรู้สูงกว่า แต่คุณก็จะเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรขนาดใหญ่เท่านั้น
บริษัทขนาดเล็กจะสอนให้คุณรู้จักความทะเยอทะยาน ได้รู้จักความฝัน ได้รู้จักการดิ้นรนเอาตัวรอด คุณจะได้เรียนรู้หลายอย่างซึ่งมันก็เป็นไปตามเวลาอันเหมาะสม
ดังนั้น สิ่งที่ควรจะมองหาไม่ใช่บริษัทดังๆ แต่เป็นเจ้านายเก่งๆ ที่คุณจะใช้เขาเป็นต้นแบบเจ้านายที่เก่งเขาจะสอนคุณด้วยวิธีที่แตกต่างจริงๆ ครับ
ในช่วงอายุ 30 – 40 ปี คุณต้องจัดระบบความคิดให้รอบคอบ คุณจะต้องทำงานเพื่อตนเอง เพื่อความสำเร็จ
ในช่วงอายุ 40 – 50 ปี คุณจะต้องทำงานที่คุณชำนาญที่สุด อย่าไปมองหางานประเภทใหม่ๆ เลย มันสายไปแล้ว คุณอาจจะทำสำเร็จก็ได้ แต่โอกาสล้มเหลวมันก็สูงมาก จงทำสิ่งที่คุณทำได้ดีอยู่แล้วดีกว่า
ในช่วง 50 – 60 ปี คุณควรจะทำงานเพื่อคนรุ่นหลัง คนรุ่นหลังจะทำงานเก่งกว่าคุณ จงพึ่งพาพวกเขา ขัดเกลาพวกเขา ทำให้พวกเขามีความสามารถ
พออายุมากกว่า 60 ปี ก็จงใช้เวลาเพื่อตนเองอย่างเต็มที่ นอนตากแดดริมหาด ปล่อยตัวเองไปตามธรรมชาติ
นี่คือสิ่งที่ผมสอนคนรุ่นหลัง
ตอนคุณอายุ 25 การทำเรื่องผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ล้มลุกคลุกคลาน มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องเจอทั้งนั้น จงสนุกกับสิ่งต่างๆ และใช้ชีวิตให้เต็มที่
คุณเพิ่งอายุ 25 เอง’
ผมจำได้ว่าตอนที่ฟังแจ๊คหม่าเล่าเรื่องลำดับชีวิตจากบทเรียนของเขานั้น ผมเห็นด้วยแต่ก็ยังคิดในใจว่าการเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงนั้นจะเอ่ยอะไรก็ทรงพลังไปเสียหมด นี่คือพลังอำนาจของบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่คนธรรมดาอย่างเราไม่มี
อย่างไรก็ตาม ความคิดของผมได้ถูกกลบด้วยคำถามง่ายๆ จากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นยืนถามแจ๊คหม่าด้วยคำถามง่ายและสั้นว่า
‘ในชีวิตคุณเคยเสียใจอะไรบ้างไหม’
แจ๊คหม่ายิ้มให้กับคำถาม จากนั้นเขาก็ร่ายคำตอบที่แสนยาวแต่มีความหมายออกมา
‘ผมเสียใจที่เปิดตัวต่อสาธารณะและสื่อมวลชน การทำแบบนั้นทำให้ความเป็นส่วนตัวของผมหายไป ผมรู้สึกเสียใจที่บ้างาน จนไม่ได้สนใจครอบครัวให้มากกว่านี้ หากผมเลือกทางเดินชีวิตได้อีกครั้งละก็ ผมคงจะไม่กลายเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน
ภรรยาของผมตัดเพ้อเสมอว่า ผมไม่ได้เป็นสามีของเธอ แต่เป็นสามีของอาลีบาบา
ชีวิตนั้นแสนสั้น ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ คนเรามีมุมมองเป็นของตัวเอง บางคนคิดว่ารวยแล้วสำเร็จแล้ว บางคนคิดว่าหมอนั่นรวยแล้ว ทำตัวแย่ไม่มีเงินเป็นคนเลว มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป
ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ผมเองก็เคยร้องไห้เวลาเจอปัญหาหนักๆ คนอื่นคิดว่าการบริหารบริษัทที่มีแต่คนรุ่นใหม่ราว 340,000 คน ไม่ใช่สิ่งที่หนักหนาสาหัสเลยงั้นหรือ
การให้บริการลูกค้า 500 ล้านคน หากมีคนเลว 1 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่าคุณต้องรับมือกับคนเลวถึง 5 ล้านคน
มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก แต่จะมาเสียใจมันก็สายเกินไปแล้ว ผมคิดว่าควรลืมความเสียใจ ผมยังต้องทำงานไปอีก 10 – 20 ปี ผมยังมีชีวิตที่ต้องสู้ และสนุกสนานไปกับมัน
พวกคุณก็เช่นกัน’
ชีวิตของใครหลายคนอาจไม่ได้ดำเนินรอยตามจังหวะก้าวแบบที่แจ๊คหม่ากล่าวมาทั้งหมด เพราะมีปัจจัยมากมายที่แตกต่างกันในชีวิตที่พร้อมจะหักเหเส้นทางและเป้าหมายของเราให้ใกล้ขึ้นหรือไม่ก็ไกลออกไปอยู่เสมอ
หลายวันก่อนนั่งคุยกับน้องๆ ที่มาฝึกงาน ปัญหาสุดคลาสสิคที่น้องๆ ชอบถาม คือ ยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร แต่ยังไม่ทันหาคำตอบ น้องๆ ก็พูดถึงเงินเดือนที่อยากจะได้รับเสียแล้ว
ผมนั่งฟังไปสักพักก็รอจังหวะให้น้องๆ ถอนหายใจออกแล้วจึงพูดแทรกในจังหวะนั้น
‘พี่ก็เคยมีอาการแบบนี้นะ แต่อย่ามัวหลงว่าเราอยากเป็นอะไร แนะนำว่าสนใจงานไหนให้สมัครแล้วลองทำเลย หรืออยากรู้ตัวเร็วหน่อยก็ไปขอฝึกเพิ่มแล้วเราจะค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ทิ้งไป ดีกว่ามานั่งนึกคิดแล้ววาดฝันกับเงินเดือนที่จะได้รับ’
‘อีกทางเลือกหนึ่งคือ ออกไปท่องเที่ยวให้เต็มที่ แล้วกลับมาลุยกับสิ่งที่อยากเป็น เพราะระหว่างเดินทางน้องอาจตกผลึกอะไรบางอย่าง’
อีกไม่นานชีวิตจริงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครทำนายอนาคตได้แม่นยำเท่าการกระทำของตัวเอง
อยากทำอะไรลุยเลย!!
ประโยคหลังนั้นผมไม่ได้บอกน้องๆ เพียงแต่จำได้ว่าตอนใกล้จบปริญญา ได้แต่ตะโกนบอกตัวเองอยู่ในใจเพียงลำพังเท่านั้น

Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน