เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งฟังรายการ The Secrect Sauce ไปและเห็นลิสต์ 10 ทักษะที่นายจ้างต้องการ ซึ่งมีอยู่ข้อหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของความยืดหยุ่น หรือ Resilience นั่นเอง
.
ที่เห็นว่าสำคัญเพราะว่าผมสัมผัสได้ว่า นอกจากงานจะเริ่มยากขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลง ผู้เล่นหน้าใหม่แล้ว ยังมีเรื่องของความคาดหวังในตัวเองของคนทำงานที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะน้องๆ รุ่นใหม่ที่ผมได้มีโอกาสทำงานด้วย
.
ซึ่งทำให้นอกจากงานก็ตึงแล้ว ชีวิตส่วนตัวที่แบกความคาดหวังกับตัวเองเอาไว้ก็ยิ่งทำให้ตึงเข้าไปอีก นั่นทำให้ความสนุกและความสบายหายไป
.
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังสือ Talent Genius ที่บทหนึ่งเขียนถึงเรื่องของ Resilience ได้น่าสนใจ โดยอ้างอิงถึงหนังสือ Stronger the Resilience You Need to Succeed ซึ่งเขียนโดย ดร. 3 คน ที่ได้อธิบายองค์ประกอบสำคัญของ Resilence ไว้ว่า ต้องมี Active Optimism หรือ การมองโลกในแง่ดีแบบลงมือทำด้วย
.
ความแตกต่างคือ การมีความยืดหยุ่นให้ตัวเองควรถูกประกบด้วยการมองหาแง่ดี และลงมือทำเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วย ไม่ใช่มองแง่ดีอย่างเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นผลลัพธ์ไม่มีทางเปลี่ยน
.
ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ยังช่วยในเรื่องของจิตใจ และส่งผลต่อสัมพันธภาพกับคนรอบตัว รวมถึงครอบครัวด้วยเช่นกัน เพิ่มอีกหน่อยก็คือ ความยืดหยุ่นมันส่งผลต่ออารมณ์ของเรานั้นเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการดำเนินชีวิตทั้งในและนอกเวลางานเป็นอย่างมาก
.
เรียกได้ว่าการมีความยืดหยุ่นนั้น จะทำให้เรารู้ว่าจังหวะไหนควรไปต่อ จังหวะไหนควรล้มไปก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่ เขียนไปแล้วก็ทำให้นึกถึงหลักการล้มว่า การล้มที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ก็คือ การล้มไปตามจังหวะที่ไม่ควรฝืนแรงต้าน เพราะยิ่งฝืนก็ยิ่งมีโอกาสมีแผลมาก และเจ็บตัวมากนั้นเอง
.
การมี Resilience เชิง Active จึงเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญและก็น่าจะช่วยรองรับแรงเสียดทานจากการทำงานของเราได้บ้างไม่มากก็น้อย
Podcaster : ออฟฟิศ 0.4
Writer : สิ่งที่เจ้านายไม่เคยบอก / เปิดเทอมใหญ่วัยทำงาน / เป็นคนที่ใช่ในงานที่ชอบ / นี่เงินเดือนหรือเงินทอน