Digital Intensity ทำงานจนชีวิตติดหน้าจอเกินไปก็ไม่ไหวนะ

1 June 2021

ตั้งแต่ชีวิตปรับโหมดทำงานที่บ้าน Work from Home เชื่อไหมว่าเรารู้สึกทำงานเยอะกว่าเดิม เพราะว่าชีวิตไม่มี Space การได้เบรกแบบจริงๆ จังๆ เหมือนช่องว่างของการพักกลางวันและการเลิกงานเพื่อเดินทางกลับบ้าน ที่ยังมีจังหวะได้ฟังเพลง ดูข่าว ดูไฮไลท์คลิปโน่นนี่นั้น ซึ่งเมื่อพื้นที่ตรงนี้หายไป กลายเป็นเวลาไหนๆ ทุกคนก็สามารถติดต่อและตามงานได้ตลอดเวลา

ภาวะตรงนี้ไม่ได้มีแค่เราเท่านั้นมีเผชิญปัญหา คนทำงานเก่งๆ ก็โดนเหมือนกัน จนบรรณาธิการ BuzzFeed Trend  อย่าง Delia Cai ได้เขียนระบายแบบกวนๆ ว่า เป็นอีกวันที่ต้องตื่นนอนมาแล้วก็ไถฟีดบนจนเล็กๆ ไปมาๆ จนเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการไถฟีดไปแล้ว ในใจก็แหม่ทำงานออนไลน์อ่า…มันเลี่ยงไมได้ แต่เข้าใจความรู้สึกที่มันตึงๆ เบื่อๆ กับวงจรชีวิตแบบนี้พอสมควร ซึ่งความตึงแบบนี้ถูกเรียกว่า Digital Intensity

แน่นอนว่าเมื่อทุกอย่างตึงเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางกายและใจเหมือนกัน ซึ่งเชื่อไหมครับว่าตั้งแต่เกิดโควิดขึ้นมา เราใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องมือดิจิทัลมากกว่าการทำงานปกติเดิมเสียอีก โดยไมโครซอฟท์ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 30,000 คนจาก 31 ประเทศทั่วโลกrพบว่า

คนทำงานใช้เวลาในการประชุมต่อสัปดาห์ทะลุไปถึง 148%

คนทำงานมีการส่งแชทหลังเลิกงานถึง 42% และ 200% ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

เท่านั้นยังไม่พอฝั่งที่ดูแลลูกค้ายังมีการรับอีเมลมากถึง 40 ล้านล้านอีเมลซึ่งมากกว่าปี 2020 อีก

แน่นอนว่าการทำงานแบบนี้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เพราะสมองและระบบประสาททำงานหนักจากการนั่งเพ่งและจ้องมองแต่หน้าจอ รวมถึงคลื่นต่างๆ จากเทคโนโลยีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมองของเราทั้งสิ้น ดังนั้นเราเลยต้องมีการหาวิธีในการบรรเทาอาการ Digital Intensity เสียหน่อย

วิธีในการบรรเทาก็คือการหัดบังคับตัวเองให้หยุดพักสัก 10 นาที โดย 10 นาทีนี้อาจเป็นการลุกขึ้นไปเดิน ยืดเส้นยืดสาย การงีบเล็กน้อยก็สามารถทำได้ เพื่อที่เราจะได้หาช่องว่างให้สมองได้ผ่อนคลายและหยุดพักบ้างนั่นเอง

หากถามว่าแล้วมีเครื่องมืออะไรในการบรรเทาให้สมองเราผ่อนคลายได้อีกบ้าง จริงๆ เมื่อปีที่แล้วหลังจากเราเข้าสู่โลกของการประชุมออนไลน์กันทั้งปี ทางไมโครซอฟท์ก็มีการสร้างเครื่องมือที่ชื่อ Together Mode ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จับภาพคนที่ประชุมออนไลน์มาไว้รวมกัน และลดการแบ่งช่องใครช่องมัน เหมือนทุกคนได้มานั่งรวมในห้องประชุมร่วมกันจริงๆ ซึ่งก็จะช่วยลดในการเพ่งมองด้วย แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่การใช้งานในแต่ละครั้งอย่างเหมาะสมนะ ถ้าใครเคยใช้แล้วมีประสบการณ์สามารถมาแชร์ได้

แต่สุดท้ายแล้วเอาเข้าใจเรื่องของการบรรเทา Digital Intensity นั่นคงต้องถอยไปบริหารและจัดการภาพใหญ่อย่างตารางชีวิตและการทำงานให้เป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น เพื่อชีวิตจะได้ไม่พังจนเกินไป เพราะอย่าลืมว่าเราคาดการณ์ไม่ได้เลยว่าเราจะอยู่กับเจ้าโควิดและรูปแบบการทำงานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

การปรับตารางชีวิตและการทำงาน รวมถึงหาช่วงเวลาให้ตัวเองได้ผ่อนคลายสัก 10 นาทีต่อชั่วโมง ก็คงไม่ได้ทำให้งานเลวร้ายนักหรอก มิเช่นนั้นแล้วเราอาจมีอาการเหมือน Delia Cai ที่เฝ้ารอการเขียนระบายกับการต่อสู้ในโลกดิจิทัลทั้งวันทั้งคืน

อย่าลืมติดตาม PODCAST ออฟฟิศ 0.4

SPOTIFY : https://spoti.fi/38KKW19

APPLE : https://apple.co/2TXdzUr

SOUNDCLOUND : http://bit.ly/OFFICE04TH-SC

YOUTUBE : http://bit.ly/OFFiCE04TH-YT

PODBEAN : https://office04th.podbean.com/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *